ประเทศซิมบับเว
สาธารณรัฐซิมบับเว
Republic of Zimbabwe (อังกฤษ)
|
||||||
---|---|---|---|---|---|---|
|
||||||
คำขวัญ: Unity, Freedom, Work (ภาษาอังกฤษ: เอกภาพ, อิสรภาพ, การงาน |
||||||
เพลงชาติ: เพลงชาติซิมบับเว Simudzai Mureza wedu WeZimbabwe หรือ Kalibusiswe Ilizwe leZimbabwe ("โปรดประทานพรแก่ดินแดนแห่งซิมบับเว") |
||||||
เมืองหลวง (และเมืองใหญ่สุด) |
ฮาราเร 17°50′S 31°3′E / 17.833°S 31.050°E |
|||||
ภาษาราชการ | ภาษาอังกฤษ | |||||
การปกครอง | สาธารณรัฐระบอบกึ่งประธานาธิบดี | |||||
- | ประธานาธิบดี | โรเบิร์ต มูกาเบ | ||||
- | นายกรัฐมนตรี | มอร์แกน แชงกิไร | ||||
ประกาศเอกราช | ||||||
- | โรดีเชีย | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 | ||||
- | ซิมบับเว | 18 เมษายน พ.ศ. 2523 | ||||
พื้นที่ | ||||||
- | รวม | 390,757 ตร.กม. (60) 150,871 ตร.ไมล์ |
||||
- | แหล่งน้ำ (%) | 1% | ||||
ประชากร | ||||||
- | 2551 (ประเมิน) | 13,349,000 (68) | ||||
- | - (สำมะโน) | - | ||||
- | ความหนาแน่น | 33 คน/ตร.กม. (170) 85 คน/ตร.ไมล์ |
||||
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | พ.ศ. 2548 (ประมาณ) | |||||
- | รวม | 30.581 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (94) | ||||
- | ต่อหัว | 2,607 ดอลลาร์สหรัฐ (129) | ||||
HDI (2546) | 0.505 (ปานกลาง) (145) | |||||
สกุลเงิน | ดอลลาร์สหรัฐ สกุลเงินอย่างเป็นทางการของรัฐบาลและยังมีสกุลเงินอย่างไม่เป็นทางการจำนวนมากa, e.g. รูปีอินเดีย, เหรินหมินปี้ แรนด์ของแอฟริกาใต้ และ Zimbabwe Bond coins ฯลฯ |
|||||
เขตเวลา | เวลาแอฟริกากลาง (CAT) (UTC+2) | |||||
- | (DST) | ไม่มี (UTC+2) | ||||
โดเมนบนสุด | .zw | |||||
รหัสโทรศัพท์ | 263 |
ซิมบับเว (อังกฤษ: Zimbabwe) มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐซิมบับเว (อังกฤษ: Republic of Zimbabwe) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ทวีปแอฟริกา อยู่ระหว่างแม่น้ำซัมเบซีและแม่น้ำลิมโปโป มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับประเทศแซมเบีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศโมซัมบิก ทิศตะวันตกติดกับประเทศบอตสวานา และทิศใต้ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ มีพื้นที่ประเทศ 390,580 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงคือ กรุงฮาราเร[ต้องการอ้างอิง]
เนื้อหา
ชื่อประเทศ[แก้]
ชื่อซิมบับเวมาจากคำว่า "Dzimba dza mabwe" ซึ่งแปลว่าบ้านหินใหญ่ในภาษาโชนา[1] ชื่อนี้ถูกนำมาจากเกรตซิมบับเวซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรเกรตซิมบับเว
ภูมิศาสตร์[แก้]
ซิมบับเวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ถูกล้อมรอบด้วยประเทศแอฟริกาใต้ทางใต้โดยมีแม่น้ำลิมโปโปกั้นอยู่ บอตสวานาทางตะวันตก แซมเบียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และโมซัมบิคทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ ซิมบับเวยังมีจุดที่ติดต่อกับประเทศนามิเบียทางตะวันตกอีกด้วย จุดที่สูงที่สุดของประเทศคือภูเขาเนียนกานี ซึ่งสูง 2,592 เมตร[2]
ประวัติศาสตร์[แก้]
ยุคก่อนประวัติศาสตร์[แก้]
มีหลักฐานว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในของซิมบับเวตั้งแต่ห้าแสนปีก่อน ช่วงสองร้อยปีหลังคริสตกาล ชาวกอยเซียนได้เข้ามาตั้งรกรากที่พื้นที่แถบนี้ นอกจากนั้นมีชาวบันตู ชาวโชนา ชาวงูนี และชาวซูลู
อาณานิคมสหราชอาณาจักร[แก้]
นักสำรวจชาวอังกฤษได้เข้ามาในซิมบับเวช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และเริ่มการล่าอาณานิคมขึ้น ดินแดนแซมเบเซียต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันในนามโรดีเซียในพ.ศ. 2435 หลังจากนั้นได้แบ่งเป็นโรดีเซียเหนือและในที่สุดได้กลายมาเป็นแซมเบีย ใน พ.ศ. 2441 ตอนใต้ของพื้นที่ แซมเบเซีย ถูกเรียกว่าโรดีเซียใต้ ต่อมาได้กลายมาเป็นซิมบับเวในอีกหลายปีหลังจากนั้น
สงครามกลางเมือง[แก้]
หลังการประกาศเอกราช[แก้]
หลังจากผ่านการขัดแย้งกันทางสีผิว รวมไปถึงบทบาทจากสหประชาชาติ และการต่อสู้ของกองโจรในช่วงพ.ศ. 2503 ในที่สุดซิมบับเวได้รับอิสรภาพในพ.ศ. 2523 ในปีเดียวกันนั้น โรเบิร์ต มูกาเบ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ
การเมืองการปกครอง[แก้]
บริหาร[แก้]
นิติบัญญัติ[แก้]
ตุลาการ[แก้]
การบังคับใช้กฎหมาย[แก้]
สิทธิมนุษยชน[แก้]
การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]
กองทัพ[แก้]
กองทัพบก[แก้]
กองทัพอากาศ[แก้]
กองกำลังกึ่งทหาร[แก้]
เศรษฐกิจ[แก้]
โครงสร้างเศรษฐกิจ[แก้]
การส่งออกแร่ธาตุ การเกษตร และการท่องเที่ยว เป็นธุรกิจที่นำเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ซิมบับเว[3] การทำเหมืองแร่ยังคงเป็นธุรกิจที่ให้กำไรมาก ซิมบับเวมีแหล่งทรัพยากรแพลทินัมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก[4] ซิมบับเวเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปของแอฟริกาใต้[5]
ซิมบับเวมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980 (อัตราการเติบโตของจีดีพีร้อยละ 5.0 ต่อปี) และ 1990 (ร้อยละ 4.3 ต่อปี) อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจเริ่มถดถอยลงตั้งแต่ปี 2000 โดยลดลงร้อยละ 5 ในปี 2000, ร้อยละ 8 ในปี 2001, ร้อยละ 12 ในปี 2002, และร้อยละ 18 ในปี 2003[6] รัฐบาลซิมบับเวประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหลายอย่างหลังจากล้มเลิกความตั้งใจที่จะพัฒนาเศรษฐกิจแบบตลาด เช่นปัญหาการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงมาก และการขาดแคลนอุปทานของสินค้าต่าง ๆ การที่ซิมบับเวมีส่วนร่วมกับสงครามในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ระหว่างปี 1998 ถึง 2002 ทำให้ต้องสูญเสียหลายร้อยล้านดอลลาร์ออกจากระบบเศรษฐกิจ[7]
เศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหวนี้มีสาเหตุหลักมาจากการบริหารที่ล้มเหลวและการคอร์รัปชันของรัฐบาลมูกาเบ และการขับไล่ชาวไร่ผิวขาวกว่า 4,000 คนในระหว่างการจัดสรรที่ดินที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในปี 2000[8][9][10] ซึ่งทำให้ซิมบับเวซึ่งเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดกลับกลายเป็นผู้นำเข้าแทน[4] ปริมาณการส่งออกยาสูบก็ลดลงอย่างมาก จากรายงานในเดือนมิถุนายน 2007 ของหน่วยปฏิบัติการเพื่อการอนุรักษ์ซิมบับเว ประมาณว่าซิมบับเวสูญเสียสัตว์ป่าไปถึงร้อยละ 60 ตั้งแต่ปี 2000 ในรายงานยังได้กล่าวเตือนอีกว่าการสูญเสียพันธุ์สัตว์ป่าและการทำลายป่าไม้อย่างกว้างขวางนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อธุรกิจท่องเที่ยว[11]
ปลายปี 2006 ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้าย รัฐบาลเริ่มประกาศอนุญาตให้ชาวไร่ผิวขาวกลับมาสู่ที่ดินของตนอีกครั้ง[12] มีชาวไร่ผิวขาวเหลืออยู่ในประเทศประมาณ 400-600 คน แต่ที่ดินที่ถูกยึดคืนส่วนใหญ่นั้นกลายเป็นที่ดินเสื่อมสภาพและไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้อีกต่อไป[12][13] ในเดือนมกราคม 2007 รัฐบาลยอมให้ชาวไร่ผิวขาวเซ็นสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว[14] แต่แล้วในปีเดียวกันรัฐบาลก็กลับขับไล่ชาวไร่ผิวขาวออกจากประเทศอีกครั้ง[15][16]
อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32 ต่อปีในปี 1998[17] จนถึงร้อยละ 231,000,000 ตามสถิติของทางการในเดือนกรกฎาคม 2008[17] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และทำให้ธนาคารต้องออกธนบัตรใบละ 1 แสนล้านดอลลาร์มาใช้[18] [19] ในเดือนพฤศจิกายน 2008 ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อของซิมบับเวพุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ 516 ล้านล้านล้านต่อปี และราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 1.3 วัน[20] และนับเป็นภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่เลวร้ายเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์โลก รองจากวิกฤติเงินเฟ้อในฮังการีในปี 1946 ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 15.6 ชั่วโมง[20]
การท่องเที่ยว[แก้]
โครงสร้างพื้นฐาน[แก้]
การคมนาคม และ โทรคมนาคม[แก้]
การศึกษา[แก้]
สาธารณสุข[แก้]
ประชากรศาสตร์[แก้]
ในปี 2008 ซิมบับเวมีประชากรประมาณ 11.4 ล้านคน[21] จากรายงานขององค์การอนามัยโลก อายุคาดหมายเฉลี่ยสำหรับผู้ชายชาวซิมบับเวคือ 37 ปี และสำหรับผู้หญิงคือ 34 ปี ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดของปี 2004[22] อัตราการติดเชื้อเอดส์ ในประชากรระหว่างอายุ 15-49 ปี ถูกประมาณไว้ที่ร้อยละ 20.1 ในปี 2006[23]
เชื้อชาติ[แก้]
ประชากรประมาณร้อยละ 98 เป็นชาวพื้นเมืองผิวดำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโชนา (ประมาณร้อยละ 80-84) รองลงมาคือชาวเดเบเล (ประมาณร้อยละ 10-15)[24][25] ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากซูลูที่อพยพมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังมีคนผิวขาวซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษ
ศาสนา[แก้]
ภาษา[แก้]
ภาษาทางการคือภาษาอังกฤษ[21] แต่ภาษาที่ใช้มากได้แก่ภาษาโชนา และภาษาเดเบเล[26]
วัฒนธรรม[แก้]
ภาษาที่ใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ และมีภาษาพื้นเมืองอื่น ๆ คือ Shona Sindebele ศาสนา ลัทธิผสม (ระหว่างศาสนาคริสต์และความเชื่อดั้งเดิม) 50% ศาสนาคริสต์ 25% ความเชื่อดั้งเดิม 24% ศาสนาอิสลามและอื่น ๆ 1%
อาหาร[แก้]
ดนตรี[แก้]
กีฬา[แก้]
ฟุตบอล[แก้]
มวยสากล[แก้]
วันหยุด[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Zimbabwe - big house of stone". Somali Press. สืบค้นเมื่อ 2008-12-14.
- ↑ "Zimbabwe Parks and Wildlife Management Authority". สืบค้นเมื่อ 2007-11-13.
- ↑ "Country Profile – Zimbabwe". Foreign Affairs and International Trade Canada. สืบค้นเมื่อ 2007-12-02. "ประเทศมีทรัพยากรธรรมชาติมากมายเช่นแร่ธาตุ ที่ดิน และสัตว์ป่า ยังมีโอกาสมากมายที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจที่มีทรัพยากรเป็นพื้นฐาน เช่นการทำเหมืองแร่ การเกษตร และการท่องเที่ยว และธุรกิจที่ต่อเนื่องจากธุรกิจเหล่านี้"
- ↑ 4.0 4.1 "No quick fix for Zimbabwe's economy". BBC. 2008-04-14. สืบค้นเมื่อ 2009-03-01.
- ↑ "Zimbabwe-South Africa economic relations since 2000". Africa News. 2007-10-31. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
- ↑ Richardson, C.J. 2005. The loss of property rights and the collapse of Zimbabwe. Cato Journal, 25, 541-565. [1]
- ↑ Organised Violence and Torture in Zimbabwe in 1999, 1999. Zimbabwe Human Rights NGO Forum.
- ↑ Robinson, Simon. "A Tale of Two Countries" — Time Magazine — Monday, February 18, 2002
- ↑ "Zimbabwe forbids white farmers to harvest" — USA Today — 06/24/2002
- ↑ "White farmers under siege in Zimbabwe" — BBC — Thursday, 15 August, 2002
- ↑ Nick Wadhams (2007-08-01). "Zimbabwe's Wildlife Decimated by Economic Crisis". Nairobi: National Geographic News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-05.
- ↑ 12.0 12.1 "Desperate Mugabe allows white farmers to come back". The Independent. 2006-12-17. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
- ↑ Meldrum, Andrew (2005-05-21). "As country heads for disaster, Zimbabwe calls for return of white farmers". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
- ↑ Timberg, Craig (2007-01-06). "White Farmers Given Leases In Zimbabwe". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
- ↑ "Zimbabwe threatens white farmers". Washington Post. 2007-02-05.
- ↑ Chinaka, Cris (2007-08-08). "Zimbabwe threatens white farmers on evictions". Reuters. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
- ↑ 17.0 17.1 "Zimbabwe inflation hits 11,200,000". CNN.com. 2008-08-19. สืบค้นเมื่อ 2008-08-19.
- ↑ "Zimbabwe introduces $100 billion banknotes". CNN.com. 2008-07-19. สืบค้นเมื่อ 2009-03-08.
- ↑ "A worthless currency". The Economist. 2008-07-17. สืบค้นเมื่อ 2008-09-05.
- ↑ 20.0 20.1 "Hyperinflation in Zimbabwe". Telegraph.co.uk. 2008-11-13.
- ↑ 21.0 21.1 "Zimbabwe". The World Factbook. Central Intelligence Agency. 2008-05-15. สืบค้นเมื่อ 2008-05-26.
- ↑ The World Health Organization. "Annex Table 1—Basic indicators for all Member States" (PDF). The World Health Report 2006. สืบค้นเมื่อ 2009-03-10.
- ↑ "Zimbabwe". UNAIDS. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
- ↑ "The People of Zimbabwe". สืบค้นเมื่อ 2007-11-13.
- ↑ "Ethnicity/Race of Zimbabwe". สืบค้นเมื่อ 2008-01-06.
- ↑ "Languages of Zimbabwe". สืบค้นเมื่อ 2009-03-18.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: Zimbabwe |
- ประเทศซิมบับเว ข้อมูลการท่องเที่ยวจาก วิกิท่องเที่ยว
- ข้อมูลทั่วไป
- Zimbabwe entry at The World Factbook
- Humanitarian information coverage on ReliefWeb
- Zimbabwe from UCB Libraries GovPubs
- Global Integrity Report: Zimbabwe—anti-corruption policy scorecard
- Key Development Forecasts for Zimbabwe from International Futures
- Voice of Witness – Narratives of Zimbabweans whose lives have been affected by the country's
- รัฐบาล
- ท่องเที่ยว
- การศึกษา
|
|