ประเทศเม็กซิโก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สหรัฐเม็กซิโก
{Estados Unidos Mexicanos}
ธงชาติ ตราแผ่นดิน
เพลงชาติHimno Nacional Mexicano


เมืองหลวง
(และเมืองใหญ่สุด)
เม็กซิโกซิตี
19°26′N 99°08′W / 19.433°N 99.133°W / 19.433; -99.133
ภาษาราชการ ภาษาสเปน
ภาษาประจำชาติ ภาษาสเปนและภาษาของชนพื้นเมืองอีก 62 ภาษา[1]
การปกครอง สหพันธ์สาธารณรัฐระบบประธานาธิบดี
 -  ประธานาธิบดี เอนรีเก เปญา เนียโต
เอกราช จาก สเปน 
 -  ประกาศ 16 กันยายน พ.ศ. 2353 
 -  เป็นที่ยอมรับ 27 กันยายน พ.ศ. 2364 
พื้นที่
 -  รวม 1,972,550 ตร.กม. (14)
761,606 ตร.ไมล์ 
 -  แหล่งน้ำ (%) 2.5
ประชากร
 -  2556 (ประเมิน) 118,395,054[2] (11)
 -  ความหนาแน่น 57 คน/ตร.กม. (142)
142 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2558 (ประมาณ)
 -  รวม 2.224 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[3] (11)
 -  ต่อหัว 18,370 ดอลลาร์สหรัฐ[3] (66)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2558 (ประมาณ)
 -  รวม 1.232 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (13)
 -  ต่อหัว 10,174 ดอลลาร์สหรัฐ (65)
จีนี (2553) 47.2 [4] (สูง
HDI (2556) 0.756 [5] (สูง) (71)
สกุลเงิน เปโซ (MXN)
เขตเวลา เขตเวลาทางการเม็กซิโก (UTC−8 ถึง −6)
 -  (DST) มีหลายเขต (UTC−7 ถึง −5)
ระบบจราจร ขวามือ
โดเมนบนสุด .mx
รหัสโทรศัพท์ 52

เม็กซิโก (แม่แบบ:Lang-atz; สเปน: México) หรือชื่อทางการคือ สหรัฐเม็กซิโก (แม่แบบ:Lang-atz; สเปน: Estados Unidos Mexicanos) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือจรดสหรัฐอเมริกา ทิศใต้และทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดกัวเตมาลา เบลีซ และทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันออกจรดอ่าวเม็กซิโก[6][7] เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ถึงเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร[8] เม็กซิโกจึงเป็นประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของทวีปอเมริกา และเป็นอันดับที่ 15 ของโลก นอกจากนี้ยังมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยมีการประมาณไว้ว่า เมื่อกลางปี พ.ศ. 2552 ประเทศนี้มีจำนวนประชากร 111 ล้านคน[9]

เนื้อหา

ที่มาของชื่อประเทศ[แก้]

รูปของเม็กซิโก-เตนอชตีตลันจากMendoza codex

หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศสเปน ก็มีการตกลงว่าจะตั้งชื่อประเทศใหม่แห่งนี้ตามชื่อเมืองหลวงคือ กรุงเม็กซิโกซิตี ซึ่งมีชื่อดั้งเดิมในสมัยก่อตั้งว่า "เม็กซิโก-เตนอชตีตลัน" (Mexico-Tenochtitlan) มีที่มาจากชื่อของชนเผ่าเม็กซิกา (Mexica) ซึ่งเป็นชนกลุ่มหลักในอารยธรรมอัซเตกอีกทอดหนึ่ง ส่วนต้นกำเนิดของชื่อเม็กซิกานั้นยังไม่ทราบชัดเจน มีการตีความไปหลาย ๆ ทาง มีข้อสันนิษฐานว่า มาจากคำในภาษานาอวตล์ว่า "เมชตลี" (Mextli) หรือ "เมชิตลี" (Mēxihtli) ซึ่งเป็นชื่อลับของเทพเจ้าวิตซีโลโปชตลี (Huitzilopochtli) เทพเจ้าแห่งสงครามและผู้คุ้มครองชาวอัซเตก (หรือชาวเม็กซิกา) ในกรณีนี้ Mēxihco [เมชิโก] จึงอาจจะแปลว่า "สถานที่ซึ่งเมชตลีทรงสถิตอยู่"[10]

อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่า Mēxihco ประกอบขึ้นจากคำว่า mētztli ("พระจันทร์"), xictli ("สะดือ", "ศูนย์กลาง" หรือ "ลูกชาย") และคำปัจจัย -co (สถานที่) ซึ่งโดยรวมแล้วแปลได้ว่า "สถานที่ใจกลางพระจันทร์" หรือ "สถานที่ใจกลางทะเลสาบพระจันทร์" ทะเลสาบพระจันทร์นี้หมายถึงทะเลสาบเตซโกโก (Lake Texcoco) ระบบทะเลสาบที่เชื่อมถึงกัน (โดยมีทะเลสาบเตซโกโกตั้งอยู่ตอนกลาง) ในบริเวณนี้มีรูปร่างเหมือนกระต่าย ซึ่งเป็นรูปเดียวกับที่ชาวอัซเตกเห็นจากพระจันทร์ และกรุงเตนอชตีตลันนั้นก็ตั้งอยู่บนเกาะใจกลาง (หรือสะดือ) ของทะเลสาบ (หรือกระต่าย/พระจันทร์) เหล่านี้พอดี[11] นอกจากนี้ยังมีข้อสมมุติฐานที่กล่าวว่าชื่อนี้มาจากคำว่า "เมกตลี" (Mēctli) ซึ่งเป็นชื่อของเทพธิดาประจำดอกโคม (maguey) อีกด้วย[11]

ชื่อของเมืองเมชิโกได้รับการถอดเสียงในภาษาสเปนเป็น México พร้อมกับเสียงของตัว x ในภาษาสเปนยุคกลางซึ่งในขณะนั้นแทนเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ไม่ก้อง /ʃ/ แต่ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เสียงนี้รวมทั้งเสียงเสียดแทรก หลังปุ่มเหงือก ก้อง /ʒ/ ซึ่งแทนด้วยตัว j ได้เกิดการวิวัฒนาการกลายเป็นเสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง /x/[12] การเปลี่ยนแปลงเสียงตัวอักษรดังกล่าวนี้ได้ทำให้มีการสะกดชื่อประเทศนี้เป็น Méjico ในสิ่งพิมพ์ภาษาสเปนจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศสเปน แต่ในประเทศเม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาสเปนยังคงใช้การสะกดแบบเดิมคือ México จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ ราชบัณฑิตยสถานสเปน ซึ่งเป็นหน่วยงานควบคุมการใช้ภาษาสเปนในประเทศสเปนได้ตัดสินว่า การสะกดทั้งสองแบบเป็นที่ยอมรับได้ในภาษาสเปน แต่การสะกดที่เป็นแบบแผนกว่าก็คือ México[13] ปัจจุบันสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ในประเทศที่ใช้ภาษาสเปนทั้งหมดก็ถือตามกฎใหม่นี้ แม้ว่าจะยังมีการใช้รูป Méjico อยู่บ้างก็ตาม[14] สำหรับในภาษาอังกฤษ ตัว x ในคำว่า Mexico ไม่ได้แทนทั้งเสียงดั้งเดิมหรือเสียงปัจจุบันตามที่ปรากฏในภาษาสเปน แต่จะแทนเสียงควบกล้ำ /ks/

ภูมิศาสตร์[แก้]

ประเทศเม็กซิโก เมื่อมองจากอวกาศ

เม็กซิโกตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ[15][16] นอกจากบนทวีปดังกล่าวแล้ว เม็กซิโกยังมีกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเล็ก ๆ ในอ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน อ่าวแคลิฟอร์เนีย และมหาสมุทรแปซิฟิก (ได้แก่เกาะกวาดาลูเปและหมู่เกาะเรบียาคีเคโดที่อยู่ห่างไกลออกไป) อีกด้วย พื้นที่เกือบทั้งหมดของเม็กซิโกแผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนแผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ โดยมีบางส่วนของคาบสมุทรบาฮากาลิฟอร์เนียตั้งอยู่บนแผ่นแปซิฟิกและแผ่นโกโกส ในทางธรณีฟิสิกส์ นักภูมิศาสตร์บางกลุ่มจัดให้ดินแดนของประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกของคอคอดเตอวนเตเปกอยู่ในภูมิภาคอเมริกากลาง[17] แต่ในทางภูมิศาสตร์การเมือง เม็กซิโกเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอเมริกาเหนือร่วมกับแคนาดาและสหรัฐอเมริกา[18][19]

เม็กซิโกมีเนื้อที่ทั้งหมด 1,972,550 ตารางกิโลเมตร[20] นับเป็นประเทศที่มีขนาดเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก[20] เม็กซิโกมีพรมแดนทางทิศเหนือร่วมกับสหรัฐอเมริกายาว 3,141 กิโลเมตร[20] โดยใช้แม่น้ำบราโบที่คดเคี้ยวเป็นพรมแดนธรรมชาติตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันออกจนถึงอ่าวเม็กซิโก และตั้งแต่เมืองซิวดัดคัวเรซไปทางทิศตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิกจะมีทั้งแม่น้ำและสิ่งก่อสร้างเป็นแนวแบ่งเขตสองประเทศไว้ ส่วนทางทิศใต้ เม็กซิโกมีพรมแดนร่วมกับกัวเตมาลายาว 962 กิโลเมตร[20] และมีพรมแดนร่วมกับเบลีซยาว 250 กิโลเมตร[20]

ภูมิประเทศ[แก้]

โอรีซาบา ยอดเขาที่สูงสุดในเม็กซิโก

เทือกเขาขนาดใหญ่ในเม็กซิโก ได้แก่ เทือกเขาเซียร์รามาเดรโอเรียนตัล ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ประเทศในแนวเหนือ-ใต้ เกือบจะขนานกับชายฝั่งภาคตะวันออก และเทือกเขาเซียร์รามาเดรออกซีเดนตัล ซึ่งขนานไปกับชายฝั่งภาคตะวันตก (เทือกเขานี้เป็นส่วนต่อเนื่องทางด้านใต้ของระบบเทือกเขาร็อกกีจากตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ) [21] นอกจากนี้ ทางภาคกลางตอนล่างของประเทศยังมีแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน หรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า "เซียร์ราเนบาดา"[22] พาดผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก ส่วนทางภาคใต้ก็มีเทือกเขาเซียร์รามาเดรเดลซูร์ที่ขนานไปกับชายฝั่งตั้งแต่รัฐมิโชอากังไปจนถึงรัฐโออาซากา ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ดินแดนทางภาคกลางและภาคเหนือของเม็กซิโกจึงตั้งอยู่บนพื้นที่ระดับสูง โดยกลุ่มยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ได้แก่ ยอดเขาโอรีซาบา (5,700 เมตร) [20] โปโปกาเตเปตล์ (5,426 เมตร) [23] อิซตักซีอวตล์ (5,230 เมตร) [24] และเนบาโดเดโตลูกา (4,680 เมตร) [25] ล้วนตั้งอยู่บริเวณแนวภูเขาไฟทรานส์เม็กซิกัน และเขตเมืองใหญ่ของเม็กซิโก ได้แก่ เขตมหานครเม็กซิโกซิตี โตลูกา และปวยบลา ต่างก็ตั้งอยู่ในหุบเขาระหว่างยอดเขาเหล่านี้[26]

แม่น้ำกรีคัลบา บริเวณหุบผาชันซูมีเดโร

ทางน้ำและแม่น้ำต่าง ๆ ในเม็กซิโกจัดอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำ 3 บริเวณ คือ บริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก และไหลสู่แอ่งภายในแผ่นดิน แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของประเทศคือ แม่น้ำบราโบ อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา แม่น้ำสายอื่นในบริเวณลุ่มน้ำเดียวกัน ได้แก่ แม่น้ำอูซูมาซินตา (พรมแดนธรรมชาติระหว่างเม็กซิโกกับกัวเตมาลา) แม่น้ำกรีคัลบา แม่น้ำปานูโก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีแม่น้ำหลายแห่งที่มีปริมาณน้ำน้อยและใช้เดินเรือไม่ได้ โดยทางน้ำในประเทศที่ใช้เดินเรือได้มีระยะทางรวมประมาณ 2,900 กิโลเมตร[27]

เม็กซิโกมีทะเลสาบขนาดย่อมหลายแห่งในพื้นที่ ทะเลสาบที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลสาบชาปาลา ในรัฐฮาลิสโก แต่เนื่องจากมีการน้ำน้ำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมาก เกินไป ทะเลสาบแห่งนี้จึงเกิดภาวะมลพิษและเสี่ยงที่จะเหือดแห้ง ทะเลสาบที่สำคัญแห่งอื่น ๆ ได้แก่ ทะเลสาบปัตซ์กวาโร ซีราอูเอน และกวิตเซโอ ทั้งหมดตั้งอยู่ในรัฐมิโชอากัง

ประวัติศาสตร์[แก้]

ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์เม็กซิโก

สมัยก่อนอาณานิคม[แก้]

สถาปัตยกรรมมายาที่เมืองโบราณอุกซ์มัล (Uxmal)

เมื่อเกือบสามพันปีก่อน ดินแดนประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยิ่งใหญ่หลายกลุ่ม เช่น โอลเมก เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มสุด ประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ทางภาคกลางของค่อนไปทางใต้ของเม็กซิโกปัจจุบัน มายา มีอำนาจอยู่ประมาณระหว่างปี ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ. 900 ตั้งถิ่นฐานอยู่บนคาบสมุทรยูกาตันในนครรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์ มายามีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกัน หลังจากเมืองเตโอตีอัวกันเสื่อมอำนาจทางการเมืองลงไป พวกโตลเตกก็ขึ้นมามีอำนาจแทนในราวปี ค.ศ. 700 อิทธิพลของอารยธรรมโตลเตกพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาลงไปจนถึงคอสตาริกาในปัจจุบัน ผู้ปกครองโตลเตกที่มีชื่อเสียงคือ เกตซัลโกอัตล์ ภายหลังอารยธรรมโตลเตกก็ล่มสลายลงไปและสืบทอดต่อมาโดยพวกอัซเตกที่เรียกจักรวรรดิของตนเองว่า "เม็กซิกา"

กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงของอัซเตกได้แก่ พระเจ้ามอกเตซูมาที่ 2 เมื่อถึงปี ค.ศ. 1519 เตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิอัซเตก (เม็กซิกา) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรถึงประมาณ 350,000 คน ซึ่งกรุงลอนดอนในขณะนั้นมีประชากรเพียง 80,000 คนเท่านั้น เตนอชตีตลันเป็นที่ตั้งของกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน

สมัยอาณานิคม[แก้]

จักรวรรดิอัซเตก

นักสำรวจชาวสเปนมาถึงเม็กซิโกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยฟรันซิสโก เอร์นันเดซ เด กอร์โดบาได้สำรวจชายฝั่งทางใต้ของเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1517 ตามมาด้วยการสำรวจของควน เด กรีคัลบาในปี ค.ศ. 1518 ผู้พิชิตดินแดนในสมัยแรกคนสำคัญคือ เอร์นัน กอร์เตส ซึ่งเข้ามาถึงในปี ค.ศ. 1519 จากทางเมืองชายฝั่งที่เขาตั้งชื่อให้ว่า "บียารีกาเดลาเบรากรุซ"

ด้วยความเชื่อว่ากอร์เตสเป็นเกตซัลโกอัตล์ (กษัตริย์เทพเจ้าในตำนานอัซเตก ซึ่งมีคำทำนายไว้ว่าพระองค์จะทรงกลับมาในปีเดียวกับที่กอร์เตสมาถึงพอดี) ชาวอัซเตกจึงไม่ได้ต่อต้านเขาและยังต้อนรับเป็นอย่างดี แต่อีกสองปีต่อมา (ค.ศ. 1521) กรุงเตนอชตีตลันก็ถูกพิชิตโดยกองทัพผสมระหว่างสเปนกับตลัชกัลเตกซึ่ง เป็นศัตรูสำคัญของอัซเตก การที่สเปนยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิอัซเตกได้นั้นเป็นจุดเริ่มต้นยุค อาณานิคมที่นานเกือบ 300 ปีของเม็กซิโกในฐานะเขตอุปราชแห่งนิวสเปน อย่างไรก็ตาม กว่าสเปนจะยึดดินแดนเม็กซิโกได้ทั้งหมดนั้นก็ยังต้องใช้เวลาอีก 2 ศตวรรษหลังจากการตีกรุงเตนอชตีตลันได้ เนื่องจากต้องสู้รบกับชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังคงก่อการจลาจลและโจมตีดินแดนของสเปนอยู่

เอกราชและสงคราม[แก้]

มีเกล อีดัลโก ผู้ก่อตั้งขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชเม็กซิโก

ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1810 นักบวชชาวเม็กซิโกชื่อ มีเกล อีดัลโก ได้ประกาศเอกราชจากสเปนที่เมืองโดโลเรส รัฐกวานาวาโต[28] เป็นตัวเร่งให้เกิดสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก ซึ่งในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1821 ชาวสเปนได้ออกไปจากประเทศและทำให้เม็กซิโกกลายมาเป็นประเทศเอกราช ผู้นำคนแรกของเม็กซิโก อากุสติน เด อีตูร์บีเด ได้รับการสถาปนาเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิที่ 1 แต่ด้วยเหตุที่ว่าประชาชนไม่พอใจ อีก 2 ปีต่อมาเม็กซิโกจึงเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ โดยมีกวาดาลูเป บิกโตเรีย เป็นประธานาธิบดีคนแรก

บุคคลที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ นายพลอันโตเนียว โลเปซ เด ซานตา อันนา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเม็กซิโกอยู่หลายสมัย เขาได้ประกาศยกเลิกระบบสหพันธรัฐและรวมอำนาจกลับเข้าสู่ศูนย์กลาง รัฐต่าง ๆ ถูกลดฐานะลงเป็นจังหวัดและไม่มีสิทธิ์ในการปกครองตนเอง ก่อให้เกิดความไม่สงบไปทั่วประเทศ รัฐต่าง ๆ ได้แก่ ยูกาตัง ตาเมาลีปัส และนวยโวเลอองได้ประกาศเอกราช ในที่สุดรัฐโกอาวีลาและเทกซัสก็ได้ประกาศแยกตัวออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1836 ยุทธการที่แอละโมที่มีชื่อเสียงได้เกิดขึ้นในสงครามครั้งนี้ ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ผนวกสาธารณรัฐเทกซัสเข้าเป็นรัฐหนึ่งของตน ทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับเม็กซิโกและเกิดสงครามระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกาขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1846-1848 เม็กซิโกเป็นฝ่ายแพ้สงครามและต้องเสียดินแดนอีกถึง 1 ใน 3 ให้สหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญาสงบศึก ส่วนซานตา อันนาถูกเนรเทศไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในลาตินอเมริกา (แต่กลับเม็กซิโกในบั้นปลายชีวิต)

วิวัฒนาการดินแดนของเม็กซิโก

ระหว่างปี ค.ศ. 1858 และ ค.ศ. 1861 เกิดสงครามภายในขึ้นระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษนิยม ในที่สุด เบนีโต คัวเรซ ผู้นำจากฝ่ายเสรีนิยมก็เป็นฝ่ายชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในทศวรรษ 1860 ฝรั่งเศสได้เข้ารุกรานเม็กซิโกและสถาปนามักซีมีเลียนแห่งฮับสบูร์ก ขึ้นเป็นจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิเม็กซิโกที่ 2 แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมาพระองค์ทรงถูกสำเร็จโทษประหารหลังจากที่กองกำลังสาธารณรัฐสามารถยึดเมืองหลวงได้ในปี ค.ศ. 1867 และคัวเรซก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งจนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1872

ผู้สืบทอดอำนาจของคัวเรซอยู่ฝ่ายเสรีนิยมเช่นกันจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1876 ฝ่ายอนุรักษนิยมนำโดยปอร์ฟีรีโอ ดีอัซ (ซึ่งเป็นนายพลผู้เคยได้ชัยชนะในการรบกับฝรั่งเศสมาก่อน) ได้ก่อกบฏขึ้นอีกและขับไล่รัฐบาลเสรีนิยมที่มาจากการเลือกตั้งออกไปได้ ปอร์ฟีรีโอได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศอยู่กว่า 30 ปี เขาทำให้ประเทศมั่งคั่งขึ้น แต่คนจนในประเทศกลับยิ่งจนลง ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมได้นำไปสู่การปฏิวัติเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1910 นำโดยฟรันซิสโก อี. มาเดโร ดีอัซประกาศลาออกในปี ค.ศ. 1911 และมาเดโรได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 เกิดรัฐประหารนำโดยนายพลฝ่ายอนุรักษนิยมชื่อว่าบิกโตเรียโน อวยร์ตา มาเดโรถูกล้มล้างอำนาจและถูกฆาตกรรม ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งมีผู้เข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง เช่น เอมีเลียว ซาปาตา และปันโช บียา โดยทั้งสองจัดตั้งกองกำลังของตนเอง แต่กองทัพภายใต้รัฐธรรมนูญที่นำโดยเบนุสเตียโน การ์รันซา ก็สามารถยุติสงครามลงได้ในที่สุดและได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1917 แต่การ์รันซาก็ถูกทรยศและลอบสังหารในปี ค.ศ. 1920 อัลบาโร โอเบรกอน วีรบุรุษอีกคนหนึ่งจากสงครามการปฏิวัติได้ขึ้นดำรงตำหน่งประธานาธิบดีแทน และปลูตาร์โก เอลีอัส กาเยส ก็ได้สืบต่ออำนาจ อย่างไรก็ตามโอเบรกอนได้ชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้งในปี ค.ศ. 1928 แต่กลับถูกลอบสังหารก่อนจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ในปี ค.ศ. 1929 กาเยสได้จัดตั้งพรรคปฏิวัติแห่งชาติขึ้น และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคปฏิวัติสถาบัน ซึ่งจะกลายเป็นพรรคที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงเวลาอีก 70 ปีถัดมา

สมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน[แก้]

ระหว่างปี ค.ศ. 1940 และ ค.ศ. 1980 เป็นช่วงที่เม็กซิโกมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเรียกว่า "มหัศจรรย์เม็กซิโก" (El Milagro Mexicano) [29] การที่รัฐเข้าครอบครองสิทธิที่จะทำผลประโยชน์จากแร่และโอนอุตสาหกรรมน้ำมันเข้าสู่บริษัทปิโตรเลียมเปเมกซ์ ซึ่งเป็นกิจการของรัฐในช่วงที่ลาซาโร การ์เดนัส เดล รีโอ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก แต่ก็เป็นการจุดปัญหาทางการทูตกับประเทศต่าง ๆ ที่พลเมืองของตนต้องสูญเสียธุรกิจซึ่งถูกยึดหรือบังคับซื้อไปโดยรัฐบาลของกา ร์เดนัส

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมก็ยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองยังไม่สงบ สุขนัก นอกจากนี้ นักการเมืองที่มีตำแหน่งบริหารของพรรคปฏิวัติสถาบันก็เริ่มลุแก่อำนาจ ไม่ฟังเสียงประชาชน และบางครั้งก็ดำเนินการกดขี่อย่างรุนแรง[30] ตัวอย่างของพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ได้แก่ กรณีสังหารหมู่ตลาเตลอลโก[31] ในปี ค.ศ. 1968 ที่กำลังตำรวจและทหารได้กราดกระสุนใส่กลุ่มนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านรัฐบาล

ในทศวรรษ 1970 การบริหารของประธานาธิบดีลุยส์ เอเชเบร์รีอา ไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากเขาตัดสินใจก้าวเดินผิดทั้งในเวทีระดับชาติและระดับนานาชาติ แต่กระนั้น ในทศวรรษนี้เองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงขึ้นเป็นครั้งแรกในกฎหมาย การเลือกตั้งของเม็กซิโก นำไปสู่ความเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ระบบการเลือกตั้งที่แต่เดิมเป็นแบบอำนาจ นิยมมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น[32][33] ในขณะที่ราคาน้ำมันขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์และอัตราดอกเบี้ย ก็ค่อนข้างต่ำนั้น รัฐบาลก็ได้สร้างการลงทุนอย่างมาดในบริษัทน้ำมันที่ตนเองเป็นเจ้าของด้วย ความพยายามจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การกู้ยืมที่มากเกินไปและการจัดการรายได้จากน้ำมันอย่างไม่ถูกต้องนั้นได้นำ ไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและก่อให้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี ค.ศ. 1982 ในปีนั้น ราคาน้ำมันตกฉับพลัน อัตราดอกเบี้ยถีบตัวสูงขึ้น และรัฐบาลก็ยังผิดนัดชำระหนี้อีกด้วย ประธานาธิบดีมีเกล เด ลา มาดริด ต้องใช้วิธีการลดค่าเงินตราทางอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้ยอดคงเหลือในบัญชีปัจจุบันมีเสถียรภาพ

แม้ว่าในระดับเทศบาล นายกเทศมนตรีคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947[34] แต่ก็ต้องรอจนถึงปี ค.ศ. 1989 ที่ผู้ว่าการรัฐคนแรกที่ไม่ได้มาจากพรรคปฏิวัติสถาบันจะได้รับการเลือกตั้ง เข้าทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลหลายแห่งอ้างว่าในปี ค.ศ. 1988 ทางพรรคได้ทุจริตการเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้กูเวาเตม็อก การ์เดนัส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้งระดับชาติครั้งนี้ โดยคะแนนเสียงส่วนมากเป็นของการ์โลส ซาลีนัส ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านขนานใหญ่ในเมืองหลวง[35] ซาลีนัสเริ่มลงมือปฏิรูปเสรีนิยมใหม่ (ทุนนิยม) โดยได้มีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ควบคุมเงินเฟ้อ และลงเอยด้วยการลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) กับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 อย่างไรก็ตามในวันเดียวกันนี้เอง กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา (Ejército Zapatista de Liberación Nacional) ซึ่งมีสมาชิกเป็นชนพื้นเมืองอินเดียนก็ได้เริ่มก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลสหพันธรัฐขึ้นที่รัฐเชียปัส (หนึ่งในรัฐที่ยากจนที่สุดของประเทศ) ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และยังคงดำเนินการเพื่อต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่และโลกาภิวัตน์โดยไม่ใช้ ความรุนแรงต่อมาถึงปัจจุบัน อนึ่ง เนื่องจากเป็นปีที่จะมีการเลือกตั้ง (ในกระบวนการซึ่งภายหลังถือว่ามีความโปร่งใสที่สุดในประวัติศาสตร์เม็กซิโก นั้น) เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างไม่เต็มใจที่จะลดค่าเงินเปโซ อันจะทำให้เกิดการสูญสิ้นเงินสำรองแห่งชาติอย่างรวดเร็ว และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 หนึ่งเดือนหลังจากที่ประธานาธิบดีเอร์เนสโต เซดีโย ขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากอดีตประธานาธิบดีซาลีนัส ก็เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ

(อดีต) ประธานาธิบดีฟอกซ์และประธานาธิบดีบุชในการลงนามเพื่อการเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและความรุ่งเรืองแห่งอเมริกาเหนือ

ด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจในระดับมหภาคที่เริ่มโดยประธานาธิบดีเซดีโย เศรษฐกิจก็กระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วและการเจริญเติบโตก็อยู่ที่เกือบร้อยละ 7 เมื่อถึงสิ้นปี พ.ศ. 2542[36] การปฏิรูปเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเพื่อเพิ่มการเป็นผู้แทนของพรรคในสมัยการ บริหารของเซดีโย รวมทั้งความไม่พอใจพรรคปฏิวัติสถาบันหลังเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ทำให้ ทางพรรคเสียคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภาไปเมื่อปี พ.ศ. 2540 ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 หลังจากที่บริหารประเทศอยู่ 71 ปี พรรคปฏิวัติสถาบันก็ได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับบีเซนเต ฟอกซ์ จากพรรคฝ่ายค้านคือ พรรคภารกิจแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2548 ฟอกซ์ได้ลงนามในการเป็นหุ้นส่วนทางความมั่นคงและความรุ่งเรืองแห่งอเมริกาเหนือ ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2549 ฐานะของพรรคปฏิวัติสถาบันก็ยิ่งอ่อนแอลงและกลายเป็นพรรคที่มีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับที่ 3 รองจากพรรคภารกิจแห่งชาติและพรรคปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันนั้น เฟลีเป กัลเดรอน จากพรรคภารกิจแห่งชาติได้ประกาศชัยชนะโดยได้รับคะแนนเสียงเฉือนขาดอันเดรส มานวยล์ โลเปซ โอบราดอร์ ตัวแทนจากพรรคปฏิวัติประชาธิปไตยไปเพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตาม โลเปซ โอบราดอร์ได้ประท้วงการเลือกตั้ง และประกาศจัดตั้ง "รัฐบาลทางเลือก"[37]

การเมืองการปกครอง[แก้]

บริหาร[แก้]

ดูบทความหลักที่: รัฐบาลเม็กซิโก

นิติบัญญัติ[แก้]

ดูบทความหลักที่: รัฐสภาแห่งเม็กซิโก

ตุลาการ[แก้]

ดูบทความหลักที่: กฎหมายเม็กซิโก

การบังคับใช้กฎหมาย[แก้]

สถานการณ์สำคัญ[แก้]

สิทธิมนุษยชน[แก้]

การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]

เม็กซิโกเป็นประเทศสหพันธรัฐที่ประกอบด้วยเสรีรัฐอธิปไตย (estado libre y soberano) 31 แห่ง แต่ละแห่งมีรัฐธรรมนูญ รัฐสภา รวมทั้งฝ่ายตุลาการประจำท้องถิ่นของตนเอง ประชาชนในรัฐสามารถเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้โดยตรง ซึ่งจะดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี และยังสามารถเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปประจำในรัฐสภาของรัฐทุก ๆ 3 ปี[38]

รัฐต่าง ๆ ในเม็กซิโกจะแบ่งเขตการปกครองเป็นเทศบาล (municipio) ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองอย่างเป็นทางการที่เล็กที่สุดของประเทศ แต่ละแห่งมีนายกเทศมนตรีที่ได้รับเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากจากประชาชนในท้อง ถิ่นเป็นผู้บริหาร[39] เทศบาลขนาดใหญ่บางแห่งอาจแบ่งพื้นที่ย่อยลงไปอีกเป็นเขตเล็ก ๆ ซึ่งมีทั้งแบบกึ่งปกครองตนเองและแบบที่ไม่ได้ปกครองตนเอง

ตามรัฐธรรมนูญแล้ว กรุงเม็กซิโกซิตีในฐานะเมืองหลวงและที่ตั้งอำนาจฝ่ายบริหารของสหพันธรัฐยังมีสถานะเป็นเฟเดอรัลดิสตริกต์หรือ "เขตของสหพันธ์" (distrito federal) ด้วย ทั้งสองถือเป็นหน่วยการปกครองเดียวกัน มีอาณาเขตเดียวกัน และมีลักษณะเป็นเขตการปกครองรูปแบบพิเศษที่ไม่ได้ขึ้นกับรัฐใดรัฐหนึ่งโดย เฉพาะ แต่เป็นของทุกรัฐในประเทศ ดังนั้นจึงมีอำนาจและกฎสำหรับท้องถิ่นค่อนข้างจำกัดกว่ารัฐต่าง ๆ[40] อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เขตสหพันธ์แห่งนี้ก็ได้รับอำนาจในการปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันประชาชนในเขตสหพันธ์มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งหัวหน้าคณะรัฐบาลประจำ เขตและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประจำรัฐสภาของเขตได้โดยตรงเช่นเดียวกับประชาชน ในรัฐต่าง ๆ และถึงแม้เขตสหพันธ์จะไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีบทกฎหมายเป็นของตนเอง

เขตการปกครองหลักของเม็กซิโก
รัฐ เมืองหลัก รัฐ เมืองหลัก รัฐ เมืองหลัก รัฐ เมืองหลัก
Mexico stateflags Aguascalientes.png อากวัสกาเลียนเตส อากวัสกาเลียนเตส  เฟเดอรัลดิสตริกต์ Mexico stateflags Morelos.png มอเรโลส กูเอร์นาวากา Mexico stateflags Sinaloa.png ซีนาโลอา กูเลียกัง
Mexico stateflags Baja California.png บาฮากาลิฟอร์เนีย เม็กซิกาลี Mexico stateflags Durango.png ดูรังโก ดูรังโก Mexico stateflags Nayarit.png นายาริต เตปิก Mexico stateflags Sonora.png โซโนรา เอร์โมซีโย
Mexico stateflags Baja California Sur.png บาฮากาลิฟอร์เนียซูร์ ลาปาซ Mexico stateflags Guanajuato.png กวานาคัวโต กวานาคัวโต Mexico stateflags Nuevo Leon.png นวยโวเลออง มอนเตร์เรย์ Mexico stateflags Tabasco.png ตาบัสโก วียาเอร์โมซา
Mexico stateflags Campeche.png กัมเปเช กัมเปเช Mexico stateflags Guerrero.png เกร์เรโร ชิลปันซิงโก Mexico stateflags Oaxaca.png วาฮากา วาฮากา Mexico stateflags Tamaulipas.png ตาเมาลีปัส ซิวดัดวิกโตเรีย
Mexico stateflags Chiapas.png เชียปัส ตุซตลากูตีเอร์เรซ Mexico stateflags Hidalgo.png อีดัลโก ปาชูกา Mexico stateflags Puebla.png ปวยบลา ปวยบลา Mexico stateflags Tlaxcala.png ตลัซกาลา ตลัซกาลา
Mexico stateflags Chihuahua.png ชีวาวา ชีวาวา Mexico stateflags Jalisco.png ฮาลิสโก กวาดาลาฮารา Mexico stateflags Queretaro.png เกเรตาโร เกเรตาโร Mexico stateflags Veracruz.png เวรากรูซ ฮาลาปา
Mexico stateflags Coahuila.png โกอาวีลา ซัลตีโย Mexico stateflags Estado de Mexico.png เม็กซิโก โตลูกา Mexico stateflags Quintana Roo.png กินตานาโร เชตูมัล Mexico stateflags Yucatan.png ยูกาตัง เมรีดา
Mexico stateflags Colima.png โกลีมา โกลีมา Mexico stateflags Michoacan.png มิโชอากัง มอเรเลีย Mexico stateflags San Luis Potosi.png ซันลุยส์โปโตซี ซันลุยส์โปโตซี Mexico stateflags Zacatecas.png ซากาเตกัส ซากาเตกัส

ต่างประเทศ[แก้]

ความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา[แก้]

ความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรไทย[แก้]

ความสัมพันธ์เม็กซิโก – ไทย
Map indicating location of เม็กซิโก and ไทย

เม็กซิโก

ไทย
  • การทูต
  • เศรษฐกิจ
  • ความร่วมมือทางวิชาการ
  • การเยือน
    • ฝ่ายไทย
    • ฝ่ายเม็กซิโก

กองทัพ[แก้]

ดูบทความหลักที่: กองทัพเม็กซิโก


กองกำลังกึ่งทหาร[แก้]

เศรษฐกิจ[แก้]

โครงสร้างเศรษฐกิจ[แก้]

อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 2.7 (2548)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 670.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548) GDP per capita 6,298 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี

โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 4

(ข้าวโพด ถั่วแดง เมล็ดพืชให้น้ำมัน พืชสำหรับเลี้ยงสัตว์ ผลไม้ ฝ้าย กาแฟ อ้อย พืชผักเมืองหนาว)

ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 26.5 (ปิโตรเลียมและเหมืองแร่)

ภาคบริการ ร้อยละ 69.5 (การค้าและการท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง)

อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.3 (2548)

ดุลบัญชีเดินสะพัด –8.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548)

เงินทุนสำรองระหว่างประเทศและทองคำ 68.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2548)

หนี้สาธารณะ ร้อยละ 39.1 ของ GDP (2548)

อัตราการว่างงาน ร้อยละ 3.6 (2548)

ทรัพยากรธรรมชาติ ปิโตรเลียม เงิน ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้

อุตสาหกรรม อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม ยาสูบ เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า

ปิโตรเลียม เหมืองแร่ สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องยนต์ การท่องเที่ยว

เกษตรกรรม ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าว ถั่ว ฝ้าย กาแฟ ผลไม้ มะเขือเทศ ปลา

นโยบายเศรษฐกิจหลัก ส่งเสริมการค้าเสรี จัดตั้งเขตการค้าเสรีทวิภาคี ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และควบคุมอัตราเงินเฟ้อ (Inflation target)

การค้าระหว่างประเทศ (2548)

การส่งออก 213.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การนำเข้า 223.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้านำเข้าหลัก สินค้าวัตถุดิบ และสินค้ากึ่งสำเร็จรูป สินค้าประเภททุน ผลิตภัณฑ์เคมี ปิโตรเคมี

ยางและพลาสติก อุปกรณ์การขนส่งและชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น

สินค้าส่งออกหลัก สินค้าอุตสาหกรรม น้ำมันปิโตรเลียม


พลังงาน[แก้]

การท่องเที่ยว[แก้]

โครงสร้างพื้นฐาน[แก้]

คมนาคม และ โทรคมนาคม[แก้]

วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี[แก้]

การศึกษา[แก้]

ดูบทความหลักที่: การศึกษาในเม็กซิโก

ประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารอ่านและเขียนได้ 92.2% ของประชากรทั้งหมด (ชาย 94% หญิง 90.5%) โดยมีมหาวิทยาลัยของรัฐที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดคือ National Autonomous University of Mexico (NAUM) ซึ่งก่อตั้งในปี 2094 (1551) และ มีนักศึกษาได้ 269,000 คน

สาธารณสุข[แก้]

ประชากรศาสตร์[แก้]

ประชากร : 107,449,525 คน โครงสร้างอายุ : 0-14 ปี -- 30.6% (ชาย 16,770,957/หญิง 16,086,172) 15-64 ปี -- 63.6% (ชาย 33,071,809/หญิง 35,316,281) 65 ปี และสูงกว่า -- 5.8% (ชาย 2,814,707/หญิง 3,389,599) อัตราการเจริญเติบโตของประชากร : 1.16%

เชื้อชาติ[แก้]

ชาวเม็กซิกัน (Mexican)

ชนพื้นเมือง[แก้]

เมสติโซ (ผิวขาวผสมอินเดียแดงพื้นเมือง) 60%, อเมริกาอินเดียแดง 30%, คอเคเชียน 9% และอื่นๆ 1%

ภาษา[แก้]

ดูบทความหลักที่: ภาษาในเม็กซิโก

สเปน (ราชการ) และ ภาษาพื้นเมืองได้แก่ ภาษามายัน (Mayan) และภาษานาวาท์ล (Nahautl)

ศาสนา[แก้]

ดูบทความหลักที่: ศาสนาในเม็กซิโก
ศาสนาในเม็กซิโก (2010 census)[41]
โรมันคาทอลิก
  
82.7%
โปรแตสแตนท์
  
9.7%
ศาสนาอื่นๆ
  
0.2%
ไม่นับถือศาสนา
  
4.7%
ไม่ปรากฏ
  
2.7%

เมืองใหญ่[แก้]

อันดับที่ เมือง รัฐ ประชากร ภาค
(ไม่เป็นทางการ)
1 เม็กซิโกซิตี เฟเดอรัลดิสตริกต์ 19.23 ล้านคน ตะวันออกเฉียงใต้
2 กวาดาลาฮารา ฮาลิสโก 4.10 ล้านคน ตะวันตก
3 มอนเตร์เรย์ นวยโวเลออง 3.66 ล้านคน ตะวันออกเฉียงเหนือ
4 ปวยบลา ปวยบลา 2.11 ล้านคน ตะวันออก
5 โตลูกา เม็กซิโก 1.61 ล้านคน กลางตอนใต้
6 ตีฮัวนา บาฮากาลิฟอร์เนีย 1.48 ล้านคน ตะวันตกเฉียงเหนือ
7 เลออง กวานาวโต 1.43 ล้านคน กลาง
8 ซิวดัดฮัวเรซ ชีวาวา 1.31 ล้านคน ตะวันตกเฉียงเหนือ
9 ตอร์เรออง โกอาวีลา 1.11 ล้านคน ตะวันออกเฉียงเหนือ
10 ซันลุยส์โปโตซี ซันลุยส์โปโตซี 0.96 ล้านคน กลาง
11 เกเรตาโร เกเรตาโร 0.92 ล้านคน กลาง
12 เมรีดา ยูกาตัง 0.90 ล้านคน ตะวันออกเฉียงใต้
13 เม็กซิกาลี บาฮากาลิฟอร์เนีย 0.85 ล้านคน ตะวันตกเฉียงเหนือ
14 อากวัสกาเลียนเตส อากวัสกาเลียนเตส 0.81 ล้านคน กลาง
15 ตัมปีโก ตาเมาลีปัส 0.80 ล้านคน ตะวันออกเฉียงเหนือ
16 กูเอร์นาวากา มอเรโลส 0.79 ล้านคน กลาง
17 อากาปุลโก เกร์เรโร 0.79 ล้านคน ใต้
18 ชีวาวา ชีวาวา 0.78 ล้านคน ตะวันออกเฉียงเหนือ
19 กูเลียกัง ซีนาโลอา 0.76 ล้านคน ตะวันตกเฉียงเหนือ

วัฒนธรรม[แก้]

ดูบทความหลักที่: วัฒนธรรมเม็กซิโก

อาหาร[แก้]

ดนตรี[แก้]

กีฬา[แก้]

วันหยุด[แก้]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. Comision Nacional para el Desarrollo de los Pueblos Indigenas. CDI. México (สเปน)
  2. "México, Proyecciones de Población". Consejo Nacional de Población (CONAPO). สืบค้นเมื่อ September 9, 2013. 
  3. 3.0 3.1 "Mexico". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ April 25 2015. 
  4. "Gini Index". World Bank. สืบค้นเมื่อ May 23, 2012. 
  5. "2013 Human Development Report Statistics". Human Development Report 2013. United Nations Development Programme. March 14, 2013. สืบค้นเมื่อ March 16, 2013. 
  6. Merriam-Webster's Geographical Dictionary, 3rd ed. Springfield, MA: Merriam-Webster, Inc.; p. 733. (อังกฤษ)
  7. "Mexico". The Columbia Encyclopedia, 6th ed. 2001–6. New York: Columbia University Press. (อังกฤษ)
  8. "Mexico — Geography". CIA The World Factbook. CIA. สืบค้นเมื่อ 2007-10-03.  (อังกฤษ)
  9. "Mexico — People". CIA The World Factbook. CIA. สืบค้นเมื่อ 2007-10-03. 
  10. Manuel Aguilar-Moreno. 2006. Libro de bolsillo para los hechos aztecas de la visa, Inc: New York, USA., p. 19. (สเปน)
  11. 11.0 11.1 (สเปน)
  12. "Diccionario Panhispánico de Dudas: la letra "x"". Real Academia Española.  (สเปน)
  13. "Diccionario Panhispánico de Dudas: México". Real Academia Española.  (สเปน)
  14. "Mexico". Online Dictionary. Merriam-Webster.  (อังกฤษ)
  15. Mexico The American Heritage Reference Collection, et al. (อังกฤษ)
  16. Mexico The Columbia Encyclopedia (อังกฤษ)
  17. Nord-Amèrica, in Gran Enciclopèdia Catalana (คาตาลัน)
  18. "Geopolitics Oil and Natural Gas", by Alan Larson, US Undersecretary for Economic, Business, and Agricultural Affairs (อังกฤษ)
  19. "Transportation and Security in North America", NACTS North American Center for Transborder Studies, University of Arizona (อังกฤษ)
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 "Mexico — Geography". CIA The World Factbook. CIA. สืบค้นเมื่อ 2009-07-07.  (อังกฤษ)
  21. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมชื่อภูมิศาสตร์สากล เล่ม 2 (อักษร M-Z) ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2550.
  22. México, estructuras, política, económica y social (สเปน)
  23. Smithsonian Institution. "Popocatépetl". in Global Volcanism Program. Retrieved on 2009-07-07. (อังกฤษ)
  24. Smithsonian Institution. "Iztaccíhuatl". in Global Volcanism Program. Retrieved on 2009-07-07. (อังกฤษ)
  25. Smithsonian Institution. "Nevado de Toluca". in Global Volcanism Program. Retrieved on 2009-07-07. (อังกฤษ)
  26. "Mexico Topography" (อังกฤษ)
  27. "Country Comparison — Waterways". CIA The World Factbook. CIA. สืบค้นเมื่อ 2009-07-07.  (อังกฤษ)
  28. Catholic Encylopedia "Miguel Hidalgo Biography". Catholic Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 2007-09-30. 
  29. "The Mexican Miracle: 1940-1968". World History from 1500. Emayzine. สืบค้นเมื่อ 2007-09-30. 
  30. Krauze, Enrique (January-February 2006). Furthering Democracy in Mexico. Foreign Affairs. Retrieved on 2007-10-07.
  31. Elena Poniatowska (1975). Massacre in Mexico (Original "La noche de Tlatelolco"). Viking, New York. ISBN 0-8262-0817-7. 
  32. Schedler, Andreas (2006). Electoral Authoritarianism: The Dynamics of Unfree Competition. L. Rienner Publishers. ISBN 1-5882-6440-8. 
  33. Crandall, R.; Paz and Roett (2004). "Mexico's Domestic Economy: Policy Options and Choices". Mexico's Democracy at Work. Lynne Reinner Publishers. p. 160. ISBN 0-8018-5655-8. 
  34. "Efemérides (Important dates)". National Action Party. สืบค้นเมื่อ 2007-10-03.  (สเปน)
  35. Photius Geographic.org, "Mexico The 1988 Elections", (Sources: The Library of the Congress Country Studies, CIA World Factbook)
  36. Cruz Vasconcelos, Gerardo. "Desempeño Histórico 1914–2004" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2007-02-17.  (สเปน)
  37. Reséndiz, Francisco (2006), "Rinde AMLO protesta como "presidente legítimo"",El Universal (สเปน)
  38. "Article 116". Political Constitution of the United Mexican States. Congress of the Union of the United Mexican States. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.  (สเปน)
  39. "Article 115". Political Constitution of the United Mexican States. Congress of the Union of the United Mexican States. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.  (สเปน)
  40. "Article 112". Political Constitution of the United Mexican States. Congress of the Union of the United Mexican States. สืบค้นเมื่อ 2007-10-07.  (สเปน)
  41. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ 2010-census

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

Wikivoyage-Logo-v3-icon.svg ประเทศเม็กซิโก ข้อมูลการท่องเที่ยวจาก วิกิท่องเที่ยว

รัฐบาล
ข้อมูลทั่วไป
การศึกษา
ด้านการท่องเที่ยว