ปรากฏการณ์ฟอเรอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปยังการนำทาง ไปยังการค้นหา
ปรากฏการณ์ฟอเรอร์มักจะใช้ในหลายสาขา เช่น โหราศาสตร์ ภาพนี้แสดงให้เห็นร้านดูดวงแห่งหนึ่งในบอสตัน

ปรากฏการณ์ฟอเรอร์ (อังกฤษ: Forer effect) หรือที่บางครั้งเรียกว่า ปรากฏการณ์บาร์นัม (อังกฤษ: Barnum effect) ตามข้อสังเกตการณ์ของ พี.ที. บาร์นัม ที่ว่า "เรามีทุกสิ่งสำหรับทุกคน" ("We've got something for everyone") เป็นปรากฏการณ์จากข้อสังเกตที่ว่า บุคคลมักให้คะแนนความถูกต้องในระดับที่สูงกับคำอธิบายเกี่ยวกับบุคลิกภาพของตนซึ่งตนเชื่อว่าทำขึ้นมาเพื่อตนโดยเฉพาะ ทั้งที่จริงแล้วเป็นคำอธิบายที่คลุมเครือและกว้างขวางพอที่จะครอบคลุมถึงบุคคลหลายๆ กลุ่ม โดยปรากฏการณ์นี้ได้อธิบายถึงเหตุผลบางส่วนเบื้องหลังความเชื่อที่เป็นนิยมหลายสาขา เช่น โหราศาสตร์ การดูดวง การทำนายจากลายมืออักษร และบททดสอบบุคลิกภาพบางตัว

อีกปรากฏการณ์ที่พบได้ง่ายและใกล้เคียงกันคือ การยืนยันเชิงอัตวิสัย (Subjective validation)[1] ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสองเหตุการณ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้รับการเชื่อมโยงกันด้วยเหตุผลทางความเชื่อ ความคาดหวัง หรือสมมติฐานที่กำหนดให้ทั้งสองเหตุการณ์จำต้องสัมพันธ์กัน ดังนั้น บุคคลจึงมักมองหาความเกี่ยวเนื่องระหว่างภาพลักษณ์ที่ตนเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของตน กับคำทำนายโหราศาสตร์

การพิสูจน์ของฟอเรอร์[แก้ไขต้นฉบับ]

ในปี ค.ศ. 1948 นักจิตวิทยา เบอร์แทรม อาร์. ฟอเรอร์ ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบด้านบุคลิกภาพ โดยบอกกับกลุ่มนักศึกษาว่าแต่ละคนจะได้รับบทวิเคราะห์ด้านลักษณะนิสัยที่เขียนขึ้นโดยเฉพาะจากผลแบบทดสอบของแต่ละคน ทั้งนี้ ฟอเรอร์ขอให้นักศึกษาให้คะแนนความถูกต้องของบทวิเคราะห์ดังกล่าวจาก 0 (ไม่ถูกต้อง) ถึง 5 (ถูกต้องทุกประการ) โดยในความจริงแล้ว นักศึกษาทุกคนได้รับบทวิเคราะห์เดียวกันทั้งหมด ดังนี้

คุณต้องการให้ผู้อื่นชื่นชอบและชื่นชมเป็นอย่างมาก คุณมีแนวโน้มที่จะคิดมากและตำหนิตนเอง คุณมีศักยภาพที่ยังไม่แสดงออกมาซุกซ่อนอยู่ และในขณะที่คุณมีข้อด้อยอยู่บ้าง คุณก็มีสิ่งที่สามารถชดเชยข้อด้อยนั้นได้ ภายนอก คุณดูเป็นคนที่มีวินัยและควบคุมตนเองได้ แต่ภายในคุณมักมีข้อกังวลและรู้สึกไม่มั่นใจ บางครั้ง คุณสงสัยว่าคุณได้ตัดสินใจดีแล้วหรือไม่ หรือได้ทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ คุณชอบการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายในระดับหนึ่ง และจะไม่พอใจเมื่อถูกจำกัดให้อยู่ในข้อบังคับ คุณภูมิใจที่คุณเป็นคนมีความคิดเป็นของตนเอง และไม่ยอมรับข้อคิดเห็นจากผู้อื่นหากปราศจากหลักฐานที่น่าพอใจ บางครั้งคุณมักเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร ความฝันของคุณบางประการดูเป็นไปไม่ได้จริง ความมั่นคงปลอดภัยคือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในชีวิตของคุณ

จากการทดลอง ผลเฉลี่ยที่ได้อยู่ที่ 4.26 โดยหลังจากได้ค่าเฉลี่ย ฟอเรอร์จึงเผยว่า นักศึกษาทุกคนได้รับผลวิเคราะห์เดียวกันที่มาจากคำทำนายดวงที่ฟอเรอร์รวบรวมมา[2] ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีหลายข้อที่สามารถครอบคลุมได้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

ในอีกงานวิจัยที่ศึกษาปรากฏการณ์ฟอเรอร์ กลุ่มนักศึกษาได้ทำแบบประเมินลักษณะนิสัยของ MMPI (Minnesota Multiphasic Personality Inventory) โดยให้นักวิจัยประเมินคำตอบของนักศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยได้เขียนรายงานผลการประเมินที่ถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของแต่ละคน แต่จะคืนทั้งผลการประเมินที่ถูกต้องและผลการประเมินปลอมที่ใช้ลักษณะนิสัยทั่วไปให้กับนักศึกษา โดยให้นักศึกษาเลือกว่าผลการประเมินใดเป็นของตน มากกว่าครึ่งของนักศึกษา (59%) เลือกผลการประเมินปลอม[3]

ปรากฏการณ์ฟอเรอร์ยังเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ "ปรากฏการณ์บาร์นัม" ซึ่งเกิดขึ้นจากบทความ "Wanted - A Good Cookbook" ในปี พ.ศ. 2499 ของนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน พอล มีห์ล ในบทความ มีห์ลได้เปรียบเทียบคำอธิบายบุคลิกภาพที่คลุมเครือกับบททดสอบทางจิตวิทยาที่ "ประสบความสำเร็จ" ของพี.ที. บาร์นัม นักแสดงและธุรกิจที่เป็นที่รู้จักในฐานะนักต้มตุ๋นเลื่องชื่อ[4][5]

การทำวิจัยซ้ำ[แก้ไขต้นฉบับ]

มีสองปัจจัยสำคัญในการสร้างมาตรฐานในการวิจัยซ้ำ ปัจจัยแรก คือ เนื้อหาคำอธิบายที่จะต้องมีสัดส่วนบุคลิกในแง่บวกและแง่ลบที่เหมาะสม ปัจจัยที่สองคือ ผู้เข้าร่วมการวิจัยต้องมีความเชื่อถือว่าบุคคลที่ให้ผลประเมินกับตนจะให้ผลประเมินที่ถูกต้องและเป็นกลาง[6][7]

สิ่งที่ทำให้ปรากฏการณ์ได้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันอยู่เสมอนั้นเป็นเพราะคำอธิบายที่คลุมเครือ ทำให้ผู้คนสามารถใส่การตีความของตนเองลงไปในเนื้อหาที่ตนได้รับ จึงทำให้เนื้อหานั้นเป็นเรื่อง "เฉพาะตัว" ของตนเองได้ เช่น "บางครั้งคุณรู้สึกมั่นใจในตัวเอง แต่บางครั้งคุณก็ลังเล" ประโยคนี้สามารถใช้ได้กับทุกคน ดังนั้น แต่ละบุคคลจึงสามารถใส่การตีความของตนเองลงไปได้ การใช้เนื้อหาที่คลุมเครือเช่นนี้จะรับรองผลการประเมินที่น่าเชื่อถือในการวิจัยซ้ำ[8]

ในปี ค.ศ. 2011 ได้มีการวิจัยโดยนำเนื้อหาบางส่วนมาเปลี่ยนแปลงเพื่อให้คนสามารถตีความผลประเมินให้เกี่ยวกับองค์กรแทนที่ตัวบุคคล ผลที่ได้ออกมาใกล้เคียงกับผลวิจัยอื่นๆ โดยชี้ว่าบุคคลมักเทียบลักษณะภาพลักษณ์องค์กรเป็นบุคคล และถูกจูงใจให้เชื่อได้ง่ายในการตีความลักษณะของคน[9]

ตัวแปรที่มีผลต่อปรากฏการณ์[แก้ไขต้นฉบับ]

ผลการศึกษาจากหลายแห่งชี้ว่าปรากฏการณ์ฟอเรอร์เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นสากล สามารถพบได้ในกลุ่มบุคคลต่างวัฒนธรรมและภูมิประเทศ ในปี ค.ศ. 2009 นักจิตวิทยา พอล โรเจอร์ส และแจนิซ โซล ทำการวิจัยเปรียบเทียบแนวโน้มในการยอมรับผลบททดสอบบุคลิกภาพของบาร์นัมระหว่างชาวตะวันตกและชาวจีน ซึ่งผลที่ได้แทบไม่มีความแตกต่างกันมากนัก[10]

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาภายหลังพบว่าผู้เข้าร่วมจะให้คะแนนความถูกต้องสูงขึ้น หากเงื่อนไขดังต่อไปนี้เป็นจริง[11]

  • ผู้เข้าร่วมเชื่อว่าผลวิเคราะห์นี้มีผลเฉพาะกับเขาเท่านั้น
  • ผู้เข้าร่วมให้ความเชื่อถือกับผู้ทำการประเมิน
  • ผลการประเมินมีลักษณะในแง่บวกเป็นหลัก

วิธีการนำเสนอผลบททดสอบบุคลิกภาพของบาร์นัมยังมีส่วนสำคัญในการทำให้คนยอมรับผลดังกล่าว เช่น ผลประเมินที่มีชื่อของผู้ถูกประเมินอยู่ในเนื้อหาจะมีแนวโน้มที่จะได้รับคะแนนสูงกว่า เป็นต้น[12]

การวิจัยในปัจจุบัน[แก้ไขต้นฉบับ]

ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ[แก้ไขต้นฉบับ]

มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าการมีความเชื่อก่อนหน้าเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติมีผลอย่างมากต่อปรากฏการณ์ฟอเรอร์ เช่น ผู้เข้าร่วมการวิจัยที่เชื่อในความแม่นยำของดวงชะตามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าคำอธิบายที่คลุมเครือนั้นหมายถึงตน มากกว่าผู้ที่ไม่มีความเชื่อดังกล่าว[13] โดยความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติครอบในกรณีนี้ครอบคลุมถึงความเชื่อในพระเจ้า อำนาจเวทมนตร์ ปรากฏการณ์วิญญาณต่างๆ เป็นต้น ผลการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มทางจิตเภท (Schizotypy) และความอ่อนไหวต่อการรับรู้ (Susceptibility) ต่อปรากฏการณ์ฟอเรอร์ยังชี้ให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกันอย่างสูงอีกด้วย[6] อย่างไรก็ตาม ในการวิจัยของโรเจอร์สและโซลใน ปี ค.ศ. 2009 ยังได้ทดสอบความเชื่อด้านโหราศาสตร์ของผู้เข้าร่วมวิจัย โดยผู้ที่มีแนวโน้มในการตั้งข้อสงสัยทั้งชาวจีนและชาวตะวันตก มักสามารถระบุข้อความที่คลุมเครือในแบบทดสอบของบาร์นัมได้ ข้อสังเกตนี้จึงชี้ได้ว่าบุคคลที่ไม่มีความเชื่อด้านโหราศาสตร์จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ฟอเรอร์น้อยกว่า

อคติการตีความเข้าหาตน[แก้ไขต้นฉบับ]

อคติการตีความเข้าหาตนได้แสดงผลในการลบล้างปรากฏการณ์ฟอเรอร์ โดยผู้เข้าร่วมวิจัยที่มีการตีความเข้าหาตนจะยอมรับผลประเมินในแง่บวกของตนเอง และปฏิเสธผลประเมินในแง่ลบ ในงานวิจัยหนึ่ง ผู้เข้าร่วมจะได้รับรายงานผลประเมินบุคลิกภาพหนึ่งในสามฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นผลการประเมินที่มีแต่ลักษณะนิสัยในแง่บวก ฉบับหนึ่งเป็นผลประเมินในแง่ลบ และอีกฉบับหนึ่งมีทั้งแง่บวกและลบปนเปกัน ผู้เข้าร่วมที่ได้รับผลประเมินที่มีแต่แง่บวกและผลประเมินแบบผสมมีแนวโน้มที่จะยอมรับผลประเมินมากกว่าผู้เข้าร่วมที่ได้รับผลประเมินในแง่ลบ โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะใดๆ ระหว่างสองกลุ่มแรก ในอีกงานวิจัยหนึ่ง ผู้เข้าร่วมได้รับชุดรายการลักษณะนิสัยแทนผลวิเคราะห์ปลอม โดยให้ผู้เข้าร่วมจะให้คะแนนลักษณะนิสัยที่คล้ายกับตน ผลที่ได้สอดคล้องกับอคติการตีความเข้าหาตน โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับลักษณะนิสัยในแง่บวก และไม่เห็นด้วยกับลักษณะนิสัยในแง่ลบ การวิจัยดังกล่าวได้ให้ข้อสรุปว่าอคติการตีความเข้าข้างตนนั้นมีกำลังมากพอที่จะลบล้างปรากฏการณ์ฟอเรอร์ได้[14]

อ้างอิง[แก้ไขต้นฉบับ]

  1. Marks, David F. (2000). The Psychology of the Psychic (2 ed.). Amherst, New York: Prometheus Books. p. 41. ISBN 1-57392-798-8.
  2. Forer, B.R. (1949). "The fallacy of personal validation: A classroom demonstration of gullibility". Journal of Abnormal and Social Psychology. American Psychological Association. 44 (1): 118–123. doi:10.1037/h0059240.
  3. Cline, Austin. "Flaws in Reasoning and Arguments: Barnum Effect & Gullibility". About.com. สืบค้นเมื่อ 12 November 2012.
  4. Meehl, Paul (1956). "Wanted – A Good Cookbook" (The American Psychologist): 266.
  5. Dutton, Denis. "The Cold Reading Technique". สืบค้นเมื่อ 28 November 2012.
  6. 6.0 6.1 Claridge, G; Clark, K.; Powney, E.; Hassan, E. (2008). "Schizotypy and the Barnum effect". Personality and Individual Differences. 44 (2): 436–444. doi:10.1016/j.paid.2007.09.006.
  7. "Something for Everyone – The Barnum Effect". The Articulate CEO. สืบค้นเมื่อ 25 November 2012.
  8. Krauss-Whitbourne, Susan. "When it comes to personality tests, skepticism is a good thing". Psychology Today. สืบค้นเมื่อ 25 November 2012.
  9. Nolan, Stuart. "The Forer Scam". TEDxSalford. สืบค้นเมื่อ 25 March 2013.
  10. Rogers, Paul; Janice Soule (2009). "Cross-Cultural Differences in the Acceptance of Barnum Profiles Supposedly Derived From Western Versus Chinese Astrology". Journal of Cross-Cultural Psychology. สืบค้นเมื่อ 2012-11-11.
  11. Dickson, D.H.; Kelly, I.W. (1985). "The 'Barnum Effect' in Personality Assessment: A Review of the Literature". Psychological Reports. Missoula. 57 (1): 367–382. doi:10.2466/pr0.1985.57.2.367. ISSN 0033-2941. OCLC 1318827.
  12. Farley-Icard, Roberta Lynn (2007). "Factors that influence the Barnum Effect: Social desirability, base rates and personalization". |access-date= requires |url= (help)
  13. "Balance-Today – Astroology". สืบค้นเมื่อ 28 November 2012.
  14. MacDonald, D.J.; Standing, L.G. (2002). "Does self-serving bias cancel the Barnum effect?". Social behavior and personality. 30 (6): 625–630. doi:10.2224/sbp.2002.30.6.625.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้ไขต้นฉบับ]