หลังจากที่ชื่อของเธอคนนี้ จันทนีย์ (อูนากูล) พงศ์ประยูร เจ้าของบทเพลง
สายชล อันโด่งดังใน ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เงียบหายไปจากวงการบันเทิงเป็นเวลากว่า
๒๐ ปี ทิ้งให้แฟนๆเฝ้ารอคอยการกลับมาของเธออีกครั้งอย่างใจจดจ่อ มาถึงวันนี้เธอกำลังจะกลับมาเพื่อพบกับคุณทุกคนอีกครั้ง
กับอัลบั้มเพลงชุดใหม่ คิดถึงบ้างไหม? และผลงานหนังสือนิทานเด็กประกอบภาพการ์ตูน
ชุด นิทานตามใจแม่ ที่ทยอยออกมาวางจำหน่ายแล้วถึง ๗ เล่มด้วยกัน พร้อมด้วยแผ่นซีดีนิทานเด็กอีก
๑ ชุด เรื่องราวและความเป็นไปของเธอที่เรากำลังจะนำเสนอสู่คุณผู้อ่านขณะนี้ คงจะทำให้หลายๆคนคลายความคิดถึงเธอไปได้ไม่มากก็น้อย...
...หลังจากที่ออกอัลบั้มมา ๓ ชุด ดิฉันก็แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก เลยเลิกร้องเพลงไป
แต่งานประจำที่บริษัทโอกิววี่ แอนด์ เมเธอร์ (ประเทศไทย)
ก็ยังคงทำอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...
ปัจจุบันคุณจันทนีย์มีตำแหน่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนคำโฆษณา (Copy Specailist)
พร้อมๆกับการดูแลครอบครัวอบอุ่นของเธอในฐานะภรรยาแสนดีของสามี (ธวัช
พงศ์ประยูร) และเป็นคุณแม่ที่ดีของลูกๆทั้งสอง (ด.ญ.ธัชชนก
และ ด.ช.ธัชพล)
...ที่จริงดิฉันชอบแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ ๑๐ ขวบแล้ว ก็มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งช่วงที่เรียนอยู่จุฬาฯ
มีโอกาสได้ทำเพลงชุด สายชล ก็ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน
ในฐานะที่ทำยอดขายสูงที่สุดประจำปี ๒๕๒๕ สมัยนั้นเราเป็นนักร้องที่แตกต่างจากนักร้องในยุคเดียวกัน
คือจากที่คนอื่นๆจะเป็นนักร้องที่แต่งตัวสวยงาม ใส่ชุดราตรียาว เกล้าผมมวย มาเป็นนักร้องที่หน้าตามอมแมม
ใส่กางเกงยีนส์ ส่วนเนื้อเพลงของเราก็เป็นสิ่งใกล้เคียงกับสมัยปัจจุบันมากขึ้น
เนื้อหาก็ธรรมดาๆ แบบนกกับรถ อะไรอย่างนี้ ซึ่งคนฟังอาจจะรู้สึกว่าแปลกดีก็เลยชอบ...
เมื่อเก็บเกี่ยวความสำเร็จในการเป็นนักร้องพร้อมชื่อเสียงที่น่าภาคภูมิใจได้แล้ว
เธอก็หันหลังให้กับวงการเพลงเป็นเวลานาน
...ทุกวันนี้ก็คิดว่าตัวเองเป็นนักแต่งเพลงนะคะ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักร้อง
คือเรามีความสุขกับการแต่งเพลงมากกว่าการที่จะต้องไปยืนร้องเพลงไงคะ ช่วงที่ดิฉันอยู่ในวงการ
๓ ปี มีคอนเสิร์ตน้อยมากๆ เท่าที่จำได้รู้สึกจะมี ๒ ครั้ง เท่านั้นเองนะคะ สมัยนั้นวงการเพลงยังไม่ค่อยมีการแข่งขันกันมากมายเหมือนสมัยนี้
ยุคนั้นถ้าเป็นนักร้องก็ต้องร้องเพลง คนที่ชอบเพลงก็จะไปซื้อหาเทปมาฟังกันที่บ้าน
แต่การเป็นนักร้องสมัยนี้มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องเอ็นเตอร์เทน ต้องมีการแสดง
ต้องจัดคอนเสิร์ตต่างๆนานา...
...แล้วเราก็มีงานประจำทำอยู่แล้วที่โอกิลวี่ฯ ตอนนั้นเป็นครีเอทีป ต้องตระเวนไปกับเจ้านายร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
ถ่ายหนังโฆษณา กลับมาทำตัดต่อ ดึกดื่นเที่ยงคืนเราทำทุกอย่าง ทีนี้พอมามีลูกเราก็ต้องเลือกครอบครัวก่อน
เลยขอกับเจ้านายว่าอยากเปลี่ยนมาทำงานนั่งโต๊ะแทน... เธอยิ้มกว้างหลังจบประโยค
และยังเล่าต่อว่า...
...ทุกวันนี้ก็ช่วยกันดูแลลูกๆกับสามี แล้วพอมีเวลาว่างสามีก็ช่วยดิฉันทำเพลงชุดนี้
ดิฉันเป็นโคโปรดิวเซอร์เอง หาคนแต่งทำนองเพลง เราทำหมด ช่วยกันก้อกแก้กๆ และลูกสาว
น้องแนน ก็มาช่วยร้องด้วยเพลงหนึ่งชื่อเพลง หนึ่งเดียว ตอนนี้เพลงเสร็จหมดแล้ว
เหลือแค่ขั้นตอนกระบวนการผลิต การทำปก ซึ่งอีกไม่นานคงจะเรียบร้อย...
...สำหรับแนวเพลงชุดนี้ก็จะคล้ายๆกันทั้งหมด แต่ไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นแนวอะไร
คงจะต้องบอกว่าเป็นแนว จันทนีย์ นี่แหละค่ะ เพลงของดิฉันนี่จะเป็นแบบเนื้อร้องมาก่อน
ไอเดียมาก่อน แล้วจังหวะหรือทำนองถึงจะตามมา คือโดยรวมเน้นที่เนื้อร้องค่ะ...
...ที่กลับมาทำงานเพลงอีกครั้งก็เพราะว่าดิฉันแต่งเนื้อเพลงเก็บไว้เยอะมาก แล้วเวลาที่ออกไปไหนก็ตามจะมีคนที่ยังจำเราได้อยู่
บางคนก็เข้ามาถามว่า เอ๊ะ!...นี่ใช่จันทนีย์ที่ร้องเพลงสายชลหรือเปล่า?...บางคนก็บอกว่าน่าจะทำเพลงอีกนะ...ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้อยากกลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง
แต่การกลับมาครั้งนี้เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องขายแบบเพลงพี่เบิร์ดอะไรแบบนั้นนะคะ
เพียงแต่ว่ากลุ่มแฟนเพลงเก่าๆของเราน่าจะชอบ หรืออาจจะเป็นแฟนเพลงกลุ่มใหม่ๆที่มีรสนิยมเดียวกันคงฟังได้...
แน่นอนครับ การคาดเดาของเธอคงได้รับคำตอบหลังจากเทปชุดนี้วางแผงไปแล้วสักระยะหนึ่ง...
เมื่อ จันทนีย์ ตัดสินใจตอบสนองความต้องการแฟนเพลงของเธอด้วยการออกอัลบั้มเพลงชุดใหม่ให้คุณพ่อ
คุณแม่ได้ชื่นใจกันแล้ว เธอยังตอบสนองความต้องการของบรรดาน้องๆหนูๆด้วยการผลิตนิทานเด็กประกอบภาพการ์ตูนสี่สีสวยงามชุด
นิทานตามใจแม่ และซีดีนิทานเด็กเรื่อง รามเกียรติ์
อีกด้วย...
...เรื่องของเรื่องก็คือว่า ลูกชายคนเล็กของดิฉันเขาไปเห็นรุ่นพี่ๆการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ที่โรงเรียนทุกๆปี
จากเดิมที่ลูกเราเป็นเด็กที่เก่ง นอนคนเดียวได้ หลังจากเห็นพวกพี่ๆนักแสดงใส่หัวโขนเป็นยักษ์
เป็นลิง ก็จะกลัวความมืด แล้วก็เกาะแม่ตลอดเลย นั่นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรปลอม
เราเป็นแม่ก็ต้องหาวิธีแก้ไข เลยใช้วิธีเล่านิทานเรื่องรามเกียรติ์ให้ฟัง ซึ่งเขาก็สนใจฟังเพราะมันเป็นเรื่องที่สนุก
พอเขาได้ฟังแล้วก็จะซักถามตลอดเวลา เราเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหนา ในที่สุดก็เลยต้องศึกษาเรื่องราวอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อที่จะตอบคำถามลูก
เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเพื่อนคนหนึ่งเขามาติดต่อให้เราทำเทปนิทานเด็ก เราก็เลยบอกว่าถ้าเป็นเรื่องรามเกียรติ์นี่เราทำได้
พอทำบททำสคริปท์ออกมาแล้วทิ้งไว้เฉยๆมันก็น่าเสียดาย ก็เลยตัดสินใจทำหนังสือนิทานด้วย
จัดการหาคนมาเขียนภาพ จากเล่มแรกเรื่องรามเกียรติ์เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว ก็ทำต่อมาเรื่อยๆจนมาถึงเล่มที่
๗ ก็มีทั้งนิทานชุดวรรณคดีตามใจแม่ รามเกียรติ์ สังข์ทอง สามก๊ก ตามมาด้วยชาดกตามใจแม่ซึ่งนำเรื่องเกี่ยวกับศาสนามาเขียน
ก็จะมีนิทานชาดก ๑ และ ๒ ทศชาติชาดก จากนั้นก็กระโดดมาเป็นเทพปกรณัมตามใจแม่ เรื่องสงครามกรุงทอย
เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้ากรีกที่น่าสนใจ บทนิทานของเราจะเน้นความแตกต่างตรงที่ของเราจะมีตัวละคร
คือตัวคุณแม่น้องนัทและน้องแนน เป็นตัวเล่าเรื่อง จุดประสงค์ก็คือต้องการให้เด็กๆเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น
จากเดิมเป็นภาษาที่ฟังยากๆก็ทำให้เด็กๆมองข้ามเรื่องราวเหล่านี้ไป เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาปรับให้บทนิทานเป็นเรื่องราวของยุคสมัยปัจจุบันก็จะถูกใจทั้งตัวเด็กและตัวคุณแม่ด้วยค่ะ...
เธอเล่าถึงที่มาพร้อมกับบอกว่าโครงการต่อไปนั้นจะเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายของแฟนๆแน่นอน
แต่ขออุบไว้ก่อนเพื่อความตื่นเต้น!...
ย้อนกลับมาพูดคุยกันเกี่ยวกับแวดวงโฆษณา ซึ่งเธอระบุตำแหน่งหน้าที่ไว้ในนามบัตรว่า
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนคำโฆษณา กันสักนิด...
...ตอนที่เป็นครีเอทีฟเคยได้รางวัล Best Creative ด้วยจนกระทั่งพอเราแต่งงานเลิกเป็นครีเอทีฟเปลี่ยนมาทำงานนั่งโต๊ะ
ก็ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าแทนซึ่งเราก็พอใจแล้วละค่ะ...
...ทุกวันนี้ดิฉันทำงานแล้วก็รับส่งลูกๆไปโรงเรียน ก็แทบจะสลบแล้ว ไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหนเลยจริงๆ
ตื่นตั้งแต่ตี ๕ เพื่อไปส่งน้องแนนที่สาธิตปทุมวัน แล้วไปส่งน้องนัทที่ประสานมิตรจากนั้นค่อยมาทำงานที่บริษัท
เวลาเลิกงานก็พยายามจัดให้เป็นเวลา ๕ โมงครึ่งนะ นอกจากมีเรื่องจำเป็นจริงๆ อาจจะต้องอยู่ทำงานถึง
ตี ๑ - ตี ๒...
...ดิฉันคิดว่าได้ให้เวลาลูกๆอย่างเต็มที่แล้ว พยายามกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้านกับพวกเขา
ดูแลให้ทำการบ้าน ท่องหนังสือ ก่อนเข้านอนก็จะไปกล่อมพวกเขานอนด้วยนิทาน ด้วยเสียงเพลง
กว่าจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองก็หลัง ๔ ทุ่มแล้วละค่ะ วิธีการเลี้ยงลูกของดิฉันค่อนข้างจะเลี้ยงให้เหมือนเพื่อนกันมากกว่า
เราให้สิทธิเสรีภาพแก่กันพอสมควร แต่อะไรที่ผิดจริงก็จะดุทันทีเลย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ทั้งพ่อแม่และผู้ใหญ่ทุกคน
จะมาทำเป็นพูดไม่เพราะ หน้าตาบึ้งตึงไม่ได้นะ เพราะนี่คือเมืองไทยต้องถือตามมารยาทไทย...
ท้ายที่สุดเธอฝากบอกกับแฟนๆที่ยังคิดถึงกันและคอยถามข่าวคราวของเธอเป็นระยะๆว่า...
...อยากจะฝากบอกผ่านทางสกุลไทยว่าตอนนี้เราทำเพลงขึ้นมาแล้ว ก็หวังว่าทุกคนคงชอบและสมหวังกับการตั้งใจรอฟังอยู่
เสียงเพลงชุดนี้คงพอจะคลายความคิดถึงกันได้บ้าง แล้วก็ฝากให้ติดตามผลงานหนังสือนิทานที่จะผลิตออกมาเรื่อยๆ
ใครที่ยังไม่มีก็ซื้อหาได้ตามร้านหนังสือทั่วไปนะคะ...
ทุกคำพูดที่ จันทนีย์ (อูนากูล) พงศ์ประยูร ได้ถ่ายทอดผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษสกุลไทยคงบ่งบอกได้ดีถึงความเป็นผู้หญิงเก่งของเธอ
ที่ประกอบไปด้วยความอบอุ่นและความเป็นแม่ รวมไปถึงการเป็นภรรยาที่ดี ชีวิตของเธอเปรียบได้ดั่ง
บทเพลงและนิทานก่อนนอน ที่คอยขับกล่อมให้สมาชิกภายในครอบครัวทุกคน หลับสบายและฝันดีตลอดคืนและตลอดไป...