แหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเมือง |
||
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ |
||
วัดนี้มีชื่อเต็มๆว่า
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ชาวบ้านส่วนใหญ่คุ้นเคยและมักเรียกขานกันว่า
วัดพระศรี หรือ วัดใหญ่ จนติดปาก แม้นพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานในวิหารคือ
พระพุทธชินราช ชาวเมืองพิษณุโลกนิยมเรียกกันอย่างสนิทคุ้นเคยว่า หลวงพ่อใหญ่
ตามไปด้วย วัดใหญ่นับว่าเป็นพระอารามหลวงที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลก เพราะเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวพิษณุโลกและชาวไทยทั้งประเทศ
วัดพระศรี หรือวัดใหญ่ ตั้งอยู่ริมฝั่งมาน้ำน่านทางทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก
ปัจจุบันนี้วัดพระศรีหรือวัดใหญ่เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด วรมหาวิหาร
สร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัยหรือพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
มาสร้างเมืองสองแควในปี พ.ศ.1900 พร้อมกับสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุในปีเดียวกัน
ในวัดพระศรี รัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ยังมีโบราณวัตถุล้ำค่าอีกมากมาย |
||
พระพุทธชินราช |
||
เป็นพระพุทธรูปองค์ประธานปางมารวิชัย
ขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว สูง 7
ศอก พระพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดในประเทศ เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม
พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิงมีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า ทีฒงคุลีคือที่ปลายนิ้วทั้งสี่ยาวเสมอกัน
ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปตัวมกร (ลำตัวคล้ายมังกรและมีงวงคล้ายช้าง)
อยู่ตรงปลายซุ้ม และตัวเหลา (คล้ายจรเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม และมีเทพอสุราคอยปกป้ององค์พระอยู่
2 องค์ คือท้าวเวสสุวัณ และอารวกยักษ์ ตำนานการสร้างพระพุทธชนราชกล่าวว่า
สร้างในสมัยพระศรีธรรมไตรปิฏก (พระยาลิไท) ในครั้งนั้น โปรดให้สร้างพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขึ้น
3 องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา การทำพิธีเททองสัมฤทธิ์ปรากฏว่าหล่อได้สำเร็จ
เพียง 2 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาเท่านั้น ส่วนองค์พระพุทธ
ชินราชปรากฏว่า ทองแล่นไม่ตลอดจึงชำรุดต้องทำพิมพ์หล่อใหม่ถึง 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายพระอินทร์ต้องแปลงองค์เป็นชีปะขาวมาช่วย
ได้เททองหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง นพศก
จุลศักราช 319 จึงสำเร็จบริบูรณ์ พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารวัดพระศรี
รัตนมหาธาตุ จวบจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่
3)แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้โปรดอัญเชิญพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ไปประดิษฐาน
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ(รัชกาลที่
5) ทรงสนพระทัยในความวิจิตรตระการตาแห่งองค์พระ พุทธชินราช จึงทรงให้จำลองพระพุทธรูปแทนพระพุทธชินราชขึ้นองค์หนึ่งเมื่อปีพ.ศ.2444
แล้วอันเชิญพระพุทธรูปจำลองลงไปกรุงเทพฯเป็นประธานในพระวิหาร ในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม |
||
บานประตูประดับมุก |
||
พระวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช
หรือหลวงพ่อใหญ่ ทางเข้าพระวิหารด้านหน้ามีบานประตูขนาดใหญ่สวนงามประดับด้วยมุก
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2299 เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยอยุธยาตอนปลายในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมโกศตรงกลางประตูมีสันอกเลาประดับลวดลาย
พุ่มข้าวบิณฑ์สองข้างเป็นลายกนก ก้านแย่งในช่วงกลางของอกเลามีรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเรียกว่า
นมอกเลา ประดิษฐ์เป็นรูปบุษบกมีรูปพระอนุโลมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ประดิษฐานบนบัลลังก์อยู่ในบุษบก
สองข้างเป็น ชุมสายซึ่งเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่ง เป็นรูปฉัตร 3 ชั้น ใต้ฐานบุษบก
มีรูปหนุมานแบกฐานไว้ ส่วนเชิงล่างของอกเลาทำเป็นรูปกุมภัณฑ์ ยืนถือกระบองท่าสำแดงฤทธิ์
ส่วนลวดลายบานประตูประดับมุกบานนี้เป็นลายกนกที่มีภาพสัตว์หิมพานต์ เช่น
ราชสีห์ คชสีห์ เหมราช ครุฑ กินรีรำและภาพสัตว์อื่นๆ นอกจากลายกนกแล้วยังมีลวดลาย
อีแปะ ด้านละ 9 วงมัดนกหูช้างประกอบช่องไฟระหว่างวงกลม หรือวงกลมเป็นรายกรุยเชิง
มีลายประจำก้ามปู ประดับขอบรอบบานประตู เดิมบานประตูวิหารพระพุทธชินราช ทำด้วยไม้สักสลักงดงาม
เมื่อทำบานประตูประดับมุกเสร็จ บานประตูเก่านำไปประดับประตูวิหารพระแท่นศิลาอาสน์
จังหวัดอุตรดิตถ์
|
||
พระเหลือ |
||
หลังจากสร้างพระพุทธชินราช
พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาแล้ว พระยาลิไทรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือนำมารวมกันหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ขนาดเล็ก หน้าตัก กว้าง 1 ศอกเศษ เรียกชื่อพระพุทธรูปนี้ว่า พระเหลือเศษทองยังเหลืออยู่อีกจึงได้หล่อพระสาวกยืนอยู่
2 องค์ ส่วนอิฐที่ก่อเตาสำหรับหลอมทองในการหล่อพระพุทธรูป นำมารวมกันบนชุกชี
(ฐานชุกชี) พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้นลงบนชุกชี เรียกว่า โพธิ์สามเส้า
ระหว่างต้นโพธิ์ได้สร้างวิหารน้อยขึ้นมา 1 หลัง อัญเชิญพระเหลือกับสาวกเข้าไปประดิษฐานอยู่
เรียกว่า พระเหลือ ปัจจุบันนี้ยังอยู่ |
||
วัดนางพญา |
||
ตั้งอยู่ถัดจากวัดราชบูรณะไปทางทิศตะวันออกและอยู่บริเวณเดียวกับวัดราชบูรณะ
วัดนี้มีชื่อเสียงในด้านพระเครื่อง มีชื่อเรียกว่า "พระนางพญา "
ซึ่งมีการพบกรุกันครั้งแรกในราวปี พ.ศ.2444 และ ในครั้งหลังเมื่อ พ.ศ. 2497การพบกรุครั้งนี้
เนื่องจากวัด ดำริจะปลูกศาลเล็กๆ ขึ้น เมื่อขุดลงไปแล้วก็พบกรุพระจมฝังดินอยู่มากมาย
ผู้ที่ได้พระนางพญาไปบูชาต่างก็เล่าลือกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ พระนางพญาจึงเป็นที่นิยมของนักเลงพระเครื่อง
ปัจจุบันนี้หาได้ยากมาก มีก็แต่ที่สร้างจำลองขึ้นมาภายหลัง |
||
วัดราชบูรณะ |
||
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกทางใต้ของวัดพระศรีมหาธาตุ
เล็กน้อย อยู่บริเวณตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง บริเวณ ใกล้เคียง มีวัดนางพญา
มีพื้นที่ทั้งหมด 14 ไร่ 9 งาน 17 ตารางวา จากหลักฐานที่ได้พบชี้ให้เห็นว่าเป็นวัดที่มีอายุนานมากกว่า
100 ปี พระมหาธรรมราชาลิไทพบเข้า จึงได้มีการบูรณะวัดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงได้เรียกชื่อว่า
วัดราชบูรณะจนถึงปัจจุบัน วัดแห่งนี้ขึ้นทะเบียนกรมศิลปากรเป็นโบราณสถานได้ประมาณ
10 กว่าปีที่ผ่านมา สถาปัตยกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ของวัดแห่งนี้ มีอยู่หลายแห่ง
อาทิ ตัวพระอุโบสถมีลักษณะพิเศษคือ เศียรนาคที่ชายคาเป็นนาค 3 เศียร มีลักษณะอ่อนช้อยงดงาม
วิหารน้อย เป็นวิหารคลุมเฉพาะองค์พระพุทธรูปปูนปั้นปรางค์มารวิชัย ศิลปะแบบสมัยสุโขทัย
และกำแพงโดยรอบภายในของวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนด้วยสีฝุ่นบนผนังปูน
คาดว่าเป็นงานเขียนในสมัยรัชกาลที่ 4 ถัดไปอีกนิด เป็นโบสถ์เก่าที่มีลักษณะแปลกคือมีเสมาคู่ตั้งอยู่โดยรอบ
ในตัวโบสถ์มีจิตรกรรมฝาผนังเช่นกัน แต่เป็นฝีมือช่างรุ่นก่อนวิหารน้อย ส่วนบนจะเขียนเรื่องราวชาดกและส่วนล่างเป็นเรื่องราวของสัตว์ต่างๆ
ในป่าหิมพานต์แทรกคำพูดเข้าไปด้วยและยังมีหอระฆัง หอไตร ที่งดงามด้วยศิลปะและการก่อสร้าง |
||
วัดจุฬามณี |
||
อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ
5 กม. ใกล้กับ ตชด. 31 วัดนี้เป็นโบราณสถานที่มีมาก่อนสุโขทัย ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า
สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้สร้างพระวิหาร และเสด็จออกผนวชที่วัดนี้เมื่อ
พ.ศ.2007 สิ่งสำคัญในวัดซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสูงทางศิลปะ และสร้างปัญหาแก่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเป็นอย่างมาก
คือปรางค์แบบขอม |
||
วัดอรัญญิก | ||
ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน
อยู่ห่างจากกำแพงเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร บนถนนพญาเสือ ซึ่งแยกออกจากถนนเอกาทศรถ
เป็นวัดที่สร้างในสมัยสุโขทัย สำหรับสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี วัดนี้มีคูน้ำล้อมรอบตามคติสมัยสุโขทัย
ถมเป็นเนินสำหรับวิหาร ด้านหลังมีเจดีย์ใหญ่ทรงลังกา เป็นเจดีย์ประธานและมีเจดีย์บริวารสี่องค์ |
||
สระสองห้อง |
||
อยู่ทางด้านตะวันตกของพระราชวังจันทน์นอกกำแพง
ปัจจุบันอยู่นอกรั้วโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เดิมชาวบ้านเรียกว่า หนองสองห้อง
เป็นที่ประทับสำราญพระทัยของพระมหากษัตริย์ที่มาประทับ ณ พระราชวังจันทน์ |
||
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าสิบเอกทวี บูรณเขตต์ |
||
พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่บนถนนวิสุทธิกษัตริย์
ตรงข้ามโรงหล่อพระบูรณะไทยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมศิลปะพื้นบ้านที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ซึ่งเป็นเครื่องมือหากินของชาวบ้านตั้งแต่ชิ้นเล็กๆจนถึงชิ้นใหญ่ๆ
เช่น เครื่องจักรสาน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้ในครัวเรือน และเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ
เช่น เครื่องวิดน้ำด้วยมือ เครื่องสีข้าว เครื่องมือดกจับสัตว์ชนิดต่างๆ
สิ่งของที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีนับหมื่นๆชิ้น ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมทุกวันโดยไม่เสียค่าเข้าชมแต่ประการใด จ่าสิบเอก ดร.ทวี บูรณเขตต์ ได้รับยกย่องว่าเป็นคนดี ศรีเมืองพิษณุโลกคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติยกย่องให้เป็นบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาช่างฝีมือประจำปี พ.ศ.2526 และสภามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีกิตติมศักดิ์ สาขาศิลปะ เมื่อปี พ.ศ.2527 เนื่องจากเป็นผู้มีฝีมือในทางประติมากรรมและเป็นผู้อนุรักษ์ศิลปะล้านนาไทยไว้มากที่สุด |
||
เจดีย์ยอดทอง |
||
เป็นวัดที่ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองพิษณุโลก
โดยมีถนนพญาเสือผ่านไปทางเดียวกับวัดอรัญญิก วัดเจดีย์ยอดทองในปัจจุบันเหลือแต่เจดีย์ทรงดอกบัวตูมเพียงองค์เดียวที่เป็นศิลปะสุโขทัย
ฐานกว้างประมาณ 9 เมตร สูง 20 เมตร เฉพาะยอดทรงดอกบัวตูมนั้นได้เห็นรอยกะเทาะของปูนทำให้แลเห็นการเสริมยอดโดยการพอกปูนเพิ่มที่ยอดแหลมของดอกบัวตูมที่น่าสังเกตุว่าลักษณะเจดีย์ทรงดอกบัวตูม
ซึ่งเป็นศิลปะของสมัยสุโขทัยนี้ยังคงมีปรากฏอยู่ในจังหวัดพิษณุโลกเพียงองค์เดียวเท่านั้น
ส่วนองค์พระปรางค์ (พระศรีรัตนมหาธาตุ)ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ท่านผู้รู้ยืนยันว่าทรงเดิมเป็นแบบดอกบัวตูม
แต่ดัดแปลงเป็นแบบปรางค์ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ฉะนั้นวัดเจดีย์ยอดทองจะต้องเป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยเดียวกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
นับว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมกันต่อไป |
||
วัดวิหารทอง |
||
วัดนี้เป็นวัดใหญ่อยู่ติดกับสำนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก
ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน เยื้องกับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเล็กน้อย ปัจจุบันเป็นวัดร้าง
เหลืออยู่แต่เนินฐานเจดีย์ ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก และเสาศิลาแลงขนาดใหญ่ ประมาณ
7 ต้น ซึ่งเดิมเป็นวิหารประดิษฐานพระอัฏฐารส ที่พิษณุโลกมีการสร้างพระอัฏฐารส
2 องค์ องค์หนึ่งเป็นปูน อยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ส่วนอีกองค์หนึ่งเป็นโลหะอยู่ที่วัดวิหารทอง
ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสระเกศ คติการสร้างพระอัฏฐารสนี้ท่านผู้รู้กล่าวว่าเป็นคติของสุโขทัย
ดังนั้น วัดวิหารทองในอดีตน่าจะมีความสำคัญยิ่งวัดหนึ่งของเมืองพิษณุโลก |
||
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช |
||
ตั้งอยู่ในโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
ซึ่งเป็นพระราชวังจันทน์มาก่อนในอดีต เนื่องจากเห็นว่าที่ตั้งของโรงเรียนนี้เคยเป็นที่ประทับของพระองค์ท่าน
ทางจังหวัดร่วมด้วยประชาชนทั่วประเทศจึงช่วยกันบริจาคเงินสร้างตัวศาลาเป็นรูปทรงไทยโบราณตรีมุข
พระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชปั้นเท่าองค์จริง ประทับนั่ง พระหัตถ์ทรงพระสุวรรณภิงคารหลั่งน้ำในพระอิริยาบถประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง
กรมศิลปากรดำเนินการสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จฯมาทรงเปิดศาลานี้เมื่อวันที่
25 มกราคม พ.ศ.2504 และทางจังหวัดพิษณุโลกถือเอาวันที่ 25 มกราคมของทุกปี
เป็นวันจัดงานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อชาวพิษณุโลกทุกคนจะได้ระลึกถึงอดีตมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของไทยเราตลอดกาล
|
||
พระราชวังจันทน์ |
||
พระราชวังจันทน์เป็นสถานที่พระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
และสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
โดยเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 กรมศิลปากรได้ขุดค้นพบแนวเขตพระราชฐานพระราชวังจันทน์ในบริเวณโรงเรียน
ซึ่งนับว่าเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีและทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของจังหวัดพิษณุโลก
แต่ในปัจจุบันนี้ กรมศิลปากรได้กลบหลุมขุดดังกล่าว เพื่อเป็นการอนุรักษ์โบราณสถานไว้
จนกว่าจะได้มีการขุดค้นอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง |
||
ปรางค์ประธานและพระอัฏฐารส |
||
พระปรางค์องค์นี้สร้างแบบสมัยอยุธยาตอนต้น
ตั้งอยู่บนฐานย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ สันนิษฐานว่า แต่เดิมคงจะเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์(ดอกบัวตูม)ซึ่งถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบสุโขทัยแท้และต่อมาเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ถูกแปลงให้เป็นพระปรางค์ในสมัยอยุธยา
ทรงด้านหน้าพระปรางค์มีพระปูนปั้น เรียกว่า พระอัฏฐารส สูง 18 ศอก ปางประทับยืนยกพระหัตถ์ขวาขึ้นอยู่บนบริเวณเนินพระอัฏฐารส
หรือที่เรียกกันว่า เนินวิหารเก้าห้อง |
||
กำแพงเมืองคูเมือง | ||
เมืองโบราณทั้งหลายย่อมมีกำแพงเมืองและคูเมืองเพื่อไว้ป้องกันมิให้ข้าศึกเข้าจู่โจมได้โดยง่าย
โดยกำแพงนั้นทำด้วยดิน ถ้าไม่สูงมากนักมักจะเรียกว่า คันดิน ดังนั้นนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจึงเรียกว่า
คูน้ำคันดิน กำแพงเมืองพิษณุโลกแต่เดิมเป็นกำแพงดินเช่นเดียวกับกำแพงเมืองสุโขทัย
คงจะสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเพื่อเตรียมรับศึก พระเจ้าติโลกราชแห่งราชอาณาจักรล้านนา
และต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้โปรดให้ซ่อมแซมกำแพงเมืองอีกครั้งเพื่อเตรียมรับศึกพม่า
พอถึงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดให้ชาวฝรั่งเศสสร้างกำแพงใหม่โดยก่อด้วยอิฐให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้รื้อกำแพงเมืองและป้อมต่างๆเพื่อมิให้พม่าซึ่งรุกรานไทยอยู่เสมอยึดเป็นที่มั่น
ฉะนั้น กำแพงดินเมืองพิษณุโลกในปัจจุบันจึงมีอยู่เพียงบางจุดซึ่งเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับเมืองโบราณอื่นๆที่ร่วมสมัย
เช่น สุโขทัย และกำแพงเพชร เป็นต้น กำแพงเมืองที่เห็นได้ชัดเจนขณะนี้คือ บริเวณวัดโพธิญาณ ซึ่งอยู่ทางเหนือใกล้ๆค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช บริเวณวัดน้อย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้ทางรถไฟและบริเวณสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก ส่วนทางฝั่งตะวันตกนั้นได้สร้างเป็นถนนแล้ว คือ ถนนพระร่วง(หลังสถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม) สำหรับคูเมืองที่มีเห็นได้ชัดเจนคือ แนวที่ขนานไปกับถนนพระร่วงนั้นเอง ขนาดกว้างประมาณ 12 เมตร โดยเฉพาะคูเมืองทางด้านทิศใต้ของสถาบันราชภัฎพิบูลสงคราม ซึ่งโค้งไปบรรจบกับแม่น้ำน่านถูกไถกลบสร้างเป็นอาคารไปหมดแล้วคงเหลือเฉพาะทางด้านตะวันตกริมถนนพระร่วง |
||
สวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ | ||
สวนชมน่านฯสร้างขึ้นในปี
พ.ศ.2543 เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในจังหวัด มีลู่วิ่งและเลนขี่จักยาน
สนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นต่าง เช่น กระดานรื่น ชิงช้า ฯลฯ ทุกวันชาวพิษณุโลกจะมาออกกำลังกาย
เช่น เต้นแอโรบิก รำมวยไทเก็ก กันที่นี่ เรือนแพเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลกบริเวณสองฝั่งแม่น้ำน่านในเขตอำเภอเมืองพิษณุโลก มีเรือนแพตั้งเรียงรายไปตามลำน้ำจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ ชีวิตชาวแพเป็นชีวิตที่เรียบง่าย นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกเพราะเป็นภาพที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก |
||
หอศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร | ||
ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์วิทยบริการ
มหาวิทยาลัยนเรศวร(ส่วนสนามบิน) ถนนสนามบิน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ
ภายในจัดแสดงผลงานศิลปะกว่า 100 ชิ้น ของศิลปินที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย
อาทิเช่น นายชวน หลีกภัย(นายกรัฐมนตรี) อ.สวัสดิ์ ตันติสุข (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์)
อ.พูน เกษจำรัส (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์) อ.ประยูร อุลุชาฎะ (ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์)
ประเทือง เอมเจริญ ชวลิต เสริมปรุงสุข เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ วิถีชุมชนภาคเหนือตอนล่าง จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องมือทำมาหากิน ใบลาน เป็นต้น และยังเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล โครงการท้องถิ่นศึกษาต้อนล่างอีกด้วย |