บทความ ส่งเสริมการท่องเที่ยว
เรื่อง : บทความ เรื่อง ชมพูภูคาหนึ่งเดียวในโลก ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
เรียบเรียงโดย : นิสารัชต์ นิลสว่าง ส.ปชส.น่าน ป้อนข้อมูลโดย :ส.ปชส.น่าน
หากจะเอ่ยถึงอุทยานแห่งชาติทางภาคเหนือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน ถือได้ว่าเป็นหนึ่งอุทยานแห่งชาติที่กำลังมาแรง ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากเดินทางมาสัมผัสธรรมชาติอันงดงามที่ยังคงความสงบและเยือกเย็นแม้จะย่างก้าวเข้าสู่ต้นฤดูร้อนแล้วก็ตาม
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่ ที่ทำการอยู่ที่ อำเภอปัว จังหวัดน่าน มีพื้นที่ครอบคลุมในท้องที่ 8 อำเภอของจังหวัดน่าน ได้แก่ อำเภอปัว อำเภอท่าวังผา อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเชียงกลาง อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสันติสุข อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และ อำเภอแม่จริม ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 1,704 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,065,000 ไร่ จุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติดอยภูคาอยู่ที่ยอดเขาดงหญ้าหวาย มีความสูง 1,939 เมตร อุทยานแห่งชาติดอยภูคานับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดน่าน โดยมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่น่าสนใจคือ ดอกชมพูภูคา ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้หายากและมีที่แห่งนี้ที่เดียวในประเทศไทย อีกทั้งมีแห่งเดียวในโลก
ชมพูภูคา มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. เป็นต้นไม้อยุ่ในวงศ์ : BRETSCHNEIDERACEAE ชมพูภูคา เป็นพันธุ์ไม้หายากที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งปัจจุบันมีรายงานการค้นพบในโลกเพียงที่เดียวคือที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคาโดยเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาเคยมีรายงานการสำรวจพบต้นชมพูภูคาทางตอนใต้ของประเทศจีนและทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จากนั้นก็ไม่มีรายงานการค้นพบต้นไม้ชนิดนี้อีกเลย ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปแล้ว จนในปี พ.ศ. 2532 ดร.ธวัชชัย สันติสุข นักพฤกษศาสตร์ ได้ค้นพบ ต้นชมพูภูคา อีกครั้งที่ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา
ชมพูภูคา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-25 เมตร จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณป่าดงดิบ ตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล และมีความชื้นของอากาศสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีค่อนต่ำ สำหรับลักษณะทั่วไปของ "ต้นชมพูภูคา" จะมีเปลือกเรียบสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ส่วนดอกเมื่อบานจะมีลักษณะคล้ายรูประฆัง กลีบดอกด้านนอกมีสีชมพูจางขาว และกลีบดอกด้านในมีสีชมพูลายเส้นสีม่วง ชูช่อเป็นพวงใหญ่ จะออกช่อบานระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ของทุกปี และในหนึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ปีนี้ (พ.ศ. 2552) ดอกชมพูภูคาช่อแรกเริ่มบานตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ใช้ระยะเวลาบานประมาณหนึ่งเดือน จุดที่สามารถชม ดอกชมพูภูคา มีหลายแห่ง สำหรับคนที่ชอบเดินป่าควรใช้เส้นทางศึกษาธรรมชาติภายในเขตอุทยานฯ แต่หากชอบความสะดวกสบาย บริเวณ ศาลเจ้าหลวงภูคา ซึ่งอยู่บนถนนระหว่างอำเภอปัวและอำเภอบ่อเกลือ
นายพูนสถิตย์ วงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เล่าให้ทีมงานฟังว่า อุทยานแห่งชาติดอยภูคายังคงมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีทัศนียภาพที่งดงาม ทั้งในยามเช้าและยามเย็น นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสแสงแรกแห่งตะวันที่จุดชมวิวสูงสุด 1,684 เมตร ของถนนสายปัว-บ่อเกลือ และชมความงามของพระอาทิตย์ที่ลานดูดาว ในเขตอุทยานฯ หรือเส้นทางระหว่างอำเภอปัวกับอำเภอบ่อเกลือก่อนขึ้นสู่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
นอกจากชมความงามทางธรรมชาติแล้ว นักท่องเที่ยวควรท่องเที่ยวในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะพบเห็นพันธุ์ไม้แปลกตา ได้แก่ เต่าร้างยักษ์หรือเต่าร้างน่านเจ้า จำปีช้าง ปาหนันยักษ์ ค้อเชียงดาว ก่วมภูคา รางจืดภูคา คัดเค้าภูคา ในเขตป่าดึกดำบรรพ์
ในส่วนเรื่องของที่พักนั้นนักท่องเที่ยวสามารถจองบ้านพักของอุทยานฯได้ ทางเว็บไซด์ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สอบถามรายละเอียดจากสำนักงานที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคาได้ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-5470-1000 นอกจากนี้ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอปัวยังมีโรงแรมและรีสอร์ทไว้ให้บริการเป็นจำนวนมาก
" ดอกชมพูภูคา" ถือได้ว่าเป็นจุดสนใจที่สำคัญที่สุดของอุทยานแห่งชาติดอยภูคา หากใครที่เดินทางมาเยือนอุทยานแห่งดอยภูคาแล้วไม่ได้ชื่นชมกับดอกชมพูภูคาถือได้ว่ายังมาไม่ถึงดอยภูคาอย่างแน่นอน
@@@@@@@@@@@@@@@@@
ที่มา : สัมภาษณ์ นายพูนสถิตย์ วงศ์สวัสดิ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
|